วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การทำสถานีวิทยุ Online ด้วย Shoutcast Server ฉบับ Mr_Gill

การทำสถานีวิทยุ Online ด้วย Shoutcast Server ฉบับ Mr_Gill

สวัสดีครับท่านทุกคนคืนนี้ว่างจัดเลยมานั่งเขียนเรื่องการทำ Audio Broadcast ด้วย Shoutcast Broadcast Server ซึ่งมันก็ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรยุ่งยากสักเท่าไหร่เลยมาเขียนให้ได้อ่านกัน

ขั้นแรกต้องถามตัวเองก่อนครับว่าเราจะติดตั้ง Shoutcast ใน OS อะไร ในที่นี่ผมขอเสนอ 3 ประเภทแล้วกันน่ะครับ
1.Windows XP Professtional SP2
2.FreeBSD
3.Linux

อธิบายหลักการทำงานของ Shoutcast กันก่อนน่ะครับ
หลักการทำงานของ Shoutcast มีอยู่ว่าเจ้าตัว Shoutcast เองไม่ได้มีหน้าที่เล่นเพลงแต่อย่างใด มันมีหน้าที่อย่างเดียวคืนกระจ่ายสัญญาณเสียงให้กับเครื่องที่ Request ขอเข้ามา(เครื่องผู้ฟังนั้นเอง) เราจำเป็นต้องมี Client ที่คอย encode ไฟล์เพลง หรือพูดง่ายก็คือต้องมี DJ หรือ PJ ค่อยเปิดเพลงแล้ว encode ให้เจ้า Shoutcast กระจายให้นั้นเอง
ดังนั้นเราจึงต้องมี software ที่คอย encode ให้ Shoutcast ในที่นี่ขอแนะนำ SHOUTcast DSP Plug-In for Winamp 5.x

คุณสามารถ Download Shoutcast Server ได้จากที่นี่
SHOUTcast WIN32 Console/GUI server v1.9.5
SHOUTcast FreeBSD 5.x server v1.9.5

SHOUTcast FreeBSD 4.x server v1.9.5
SHOUTcast Linux server (glibc) v1.9.5

และ Download SHOUTcast DSP Plug-In for Winamp 5.x
SHOUTcast DSP Plug-In for Winamp 5.x

เริ่มกันเลยผมขอเริ่มด้วยการติดตั้ง Shoutcast Broadcast Server บน Windows XP ก่อนละกันน่ะครับ
1.เริ่มด้วยการดาวน์โหลดโปรแกรมมาก่อนน่ะครับ
2.จากนั้นก็ติดตั้งปกติ Next ไปเรื่อยๆ มันจะถามนิดหน่อยให้เราเลือก Console แต่เราสามารถใช้ค่า Default ของมันได้เลย
3.เมื่อติดตั้งเสร็จโปรแกรมจะถูกติดตั้งไว้ในโฟลเดอร์ C:\Program Files\SHOUTcast
4.เข้าไปในโฟล์เดอร์ C:\Program Files\SHOUTcast
5.คลิกขวาที่ไฟล์ sc_serv.ini (สังเกตมันจะเป็นไฟล์เอกสารที่มีรูปเฟืองอะครับ)จากนั้น Open With >> Choose Program.. >> Wordpad หรือถ้าใครมี EditPlus ก็สามารถเปิดจาก EditPlus ได้
6.มี 2 จุดสำคัญที่เราต้องแก้ไขครับ
6.1 หาบรรทัดที่เขียนว่า

password=changme เปลี่ยนจาก changme เป็น password เราครับนี่เป็น passwd สำหรับคนที่จะ encode เข้ามายังเครื่องของเราครับ ตัวอย่าง
password=encoder123

; AdminPassword=adminpass ให้เอาเครื่องหมาย ; ออกน่ะครับจากนั้นหลังเครื่องหมาย = เราสามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ นี่เป็น password สำหรับ admin ตัวอย่างหลังการแก้ AdminPassword=admin1234

6.2 หาบรรทัดที่เขียนว่า
PortBase=8000 นี่เป็น port ที่เราจะใช้ในการ Broadcast และ encoding เข้ามา เรามาสามารถแก้ได้ตามความเหมาะสมแต่ต้องระวังเรื่องการชนกันของ port ด้วยนะครับ ต้องแน่ใจว่า port ที่เราเปลี่ยนมาใช้นั้นไม่ได้ถูกใชู้่โดยโปรแกรมอื่น

หลังจากแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็ save ให้เรียบร้อย
7.จากนั้นเราก็มา run ตัว Shoutcast ได้เลยครับ โดยการคลิก Start >> All Programs >> SHOUcast DNAS >> SHOUTcast DNAS (GUI ) เป็นอันเสร็จในฝั่ง Server

มาต่อกันด้วยการติดตั้งบน FreeBSD กันครับ
ต้องบอกไว้ก่อนน่ะครับคือ ผมติดตั้งบน FreeBSD 6.1 STABLE สำหรับผู้ที่ใช้ FreeBSD4x หรือ 5x สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นสำหรับ FreeBSD ของท่านได้เลย แต่คนที่ลง FreeBSD6x ก็สามารถติดตั้งได้เหมือนกันครับโดยการตั้งตั้ง package compat5x เข้าไปขั้นตอนการติดตั้ง compat5x
# cd /usr/ports/misc/compat5x/
# make install clean
# echo 'compat5x_enable="YES"' >> /etc/rc.conf

# reboot
สัก 1 รอบ


หลังจากระบบของเราพร้อมแล้วก็มาติดตั้งกันเลย

1.login เข้าระบบ

2.ทำการ download shoutcast มาไว้ที่ server ของเราครับ
# cd /tmp
# fetch http://www.shoutcast.com/downloads/sc1-9-5/shoutcast-1-9-5-freebsd4-elf.tar.gz
สำหรับ FreeBSD4x หรือ
# fetch http://www.shoutcast.com/downloads/sc1-9-5/shoutcast-1-9-5-freebsd5-elf.tar.gz สำหรับ FreeBSD5x

3.เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วทำการ extract ออกมาด้วยคำสั่ง
# tar -xvvzf shoutcast-1-9-5-freebsd4-elf.tar.gz สำหรับ FreeBSD4x หรือ
# tar -xvvzf shoutcast-1-9-5-freebsd5-elf.tar.gz สำหรับ FreeBSD5x
เราจะได้ directory shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf X = version ที่คุณโหลดมา

4.จากนั้นทำการย้าย directoty ทีได้ไปเก็บไว้ใน /usr/local/
# mv shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf /usr/local

5. แล้วเปลี่ยน directory ไปยัง /usr/local/shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf
# cd /usr/local/shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf

6.ทำการแก้ไขไฟล์ sc_serv.conf ด้วย editor ตัวไหนก็ได้ผมขอใช้ ee ละกัน
# cp sc_serv.conf sc_serv.conf.bak
# ee sc_serv.conf

ทำการแก้ไขเหมือนกับข้อ 6.1 และ 6.1 บน windows แล้ว save ให้เรียบร้อยครับ

7.ทำการ chmod ให้กับไฟล์ sc_serv เพื่อให้สามารถ run ได้
# chmod +x sc_serv

8.ทำการ run sc_serv ได้เลยครับ
# ./sc_serv sc_serv.conf


*** เห็นถามกันมามากเหลือเกินเลยมาแก้เนื้อหาให้ครับ สำหรับคนที่ต้องการเปิด port มากกว่า 1 port ก็ให้ทำการก๊อปปี้ไฟล์คอนฟิกเพิ่มเป็นหลายๆ ไฟล์ตามต้องการเลยน่ะครับ แล้วก็ไปเปลี่ยน password และก็ port ในนั้นแล้วเวลารันก็สั่ง # ./sc_serv ตามด้วยชื่อไฟล์คอนฟิก เช่น # ./sc_serv p8000.conf หรือ # ./sc_p9000.conf


ถ้าต้องการให้ sc_serv start เองเวลา boot เครื่องก็สามารถเขียนเป็น shell script สั่นๆ ไว้ใช้งานกันได้โดยการ
# ee /usr/local/etc/rc.d/sc_serv.sh จะเข้าสู่หน้า editor ของ ee
พิมพ์
/usr/local/shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf/sc_serv /usr/local/shoutcast-1-9-5-freebsdX-elf/sc_serv.conf & เข้าไปครับ อย่าลืมน่ะครับ X = version ที่ท่านโหลดมา จากนั้นทำการ save ให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ทำการ
# chmod +x /usr/local/etc/rc.d/sc_serv.sh
# echo 'sc_serv_enable="YES"' >> /etc/rc.conf
# reboot
ดูผล
เสร็จครับ

มาถึงการติดตั้งบน Linux ก้นบ้าง
มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากการ config บน FreeBSD สักเท่าไหร่ครับ
1.ดาวน์โหลด http://www.shoutcast.com/downloads/sc1-9-5/shoutcast-1-9-5-linux-glibc6.tar.gz มา
2.ทำการ extract ออกมาแล้วย้ายไปเก็บไว้ที่ /usr/bin (ความจริงจะเก็บไว้ที่ไหนก็ได้ครับไม่สำคัญสักเท่าไหร่)
3.เข้าไปแก้ไฟล์ sc_serv.conf เหมือนกับที่แก้ไขบน windows แล้วทำการ save
4. # chmod +x sc_serv
5.ทำการ run sc_serv ได้เลยครับ
# ./sc_serv sc_serv.conf

หากต้องการให้ shoutcast ทำงานหลาย port โปรแกรมด้านบน

*** ข้อควรระวังของการติดตั้ง Shoutcast Server คือ ถ้าหาก Sever ได้ติดตั้ง Firewall ไว้ควร Allow port ที่เราได้ตั้งไว้ในไฟล์ config ไม่งั้นจะไม่สามารถใช้ port ที่่ตั้งไว้ได้ครับ

หลังจากเราได้ติดตั้ง Server เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาจัดการกับตัว encode กันบ้างครับ

ผมใช้ winamp 5.12 สำหรับ encode น่ะครับ

1.ดาวน์โหลด http://www.shoutcast.com/downloads/shoutcast-dsp-1-9-0-windows.exe มาแล้วติดตั้งครับ Next อย่างเดียว

2. หลังจากติดตั้งแล้วเปิดโปรแกรม Winamp ขึ้นมา

3. เข้าไปที่หน้า Preferences ของ winamp ครับ โดยการคลิกขวาที่ส่วนของหัวโปรแกรม winamp >> Options >> Preferences... หรือกด Ctrl+p ก็ได้ครับ

4.ตอนนี้เราจะอยู่ที่หน้า Preferences ของ winamp แล้วน่ะครับ เลือกหัวข้อ DSP/Effect หน้าต่างด้านขวาจะแสดงDSP ที่ winamp มีอยู่ คลิกเลือกที่ Nullsoft SHOUTcast Source DSP V1.9.0 (dsp_sc.dll) จากนั้น มันจะเปิดหน้า config ของ SHOUTcast Sourc มาให้น่ะครับ
จะมีอยู่ด้วยกัน 4 tab เลือก tab ที่ 2 Output ก่อนน่ะครับ

DSP

5.ช่อง Address กรอก ip หรือ domain ของ server ที่เราได้ติดตั้ง Shoutcast Server ไว้ ถ้าเป็น windows เรามาสามารถติดตั้ง server และตัว encode ไว้ในเครื่องเดียวกันได้ ถ้าติดตั้งภายในเครื่องเดียวเราก็ใส่เป็น localhost ครับ

6.ช่อง Port กรอก port ที่เราได้ตั้งไว้ในไฟล์ config

7.ช่อง Password กรอก password ที่เราได้ตั้งไว้ในไฟล์ config

8.สำหรับช่อง Encoder เลือกเป็น 1 ไว้น่ะครับ

9.กรอกข้อมูลครบแล้วคลิกที่ปุ่ม Connect ถ้าหาก connect ติดแสดงว่าผ่านครับ (สังเกตตรง Status น่ะครับ จากเดิม Not Connected จะเป็นดังรูปข้างล่าง)

Connect

หลังจากตั้งค่าเสร็จคลิกทีุ่ปุ่ม Yellowpages แล้วตั้งค่าต่างๆ ตามต้องการ

Yellowpages



9.จากนั้นเปลี่ยนไปยัง tab Encoder


encode

10.เมื่อกี้ตอนเราแก้ไขข้อมูลหน้า Output เราได้เลือก Encoder 1 ไว้เราสามารถตั้งค่าได้ตามความต้องการครับ

11.ทดลองฟังโดย copy url ของ server รูปแบบ http://ipserver:port ไปวางในช่อง Open url ของ pleyer ใดๆ
เช่น http://cpe-ru.homeip.net:30000 เอาไปวางในช่อง Open url ของ windows medial player หรือ pleyer ตัวอื่นๆ ถ้าอยาก connect กับ server ได้และ buffer จนได้ยินเสียงเพลง แสดงว่าผ่านครับ ถ้าหากไม่ผ่านลองไล่ดูขึ้นตอนใหม่น่ะครับ

ยังไม่เสร็จครับ แหมผมลืมไปได้ยังไงเนี่ย
มาส่วนของ web admin กันครับ ผมลืมไปเลย
เรามาสามารถดูว่ามีคนฟังกี่คน จาก ip อะไร สามารถ ban ip ต่างๆ ได้จากหน้า page
http://yourhost:port/admin.cgi
เช่นของผม http://cpe-ru.homeip.net:30000/admin.cgi
กรอก
user : admin
passwd: พาสเวิส ที่คุณได้ตั้งไว้ในไฟล์ config


สำหรับผู้ฟังก็เข้าไปดูรายชื่อเพลงที่กำลังเล่นได้ที่ http://yourhost/
เช่น http://cpe-ru.homeip.net:30000/

ที่มา : http://learners.in.th/blog/mrgill/51511

ขั้นตอนการติดตั้ง DSP plug-in เพื่อส่งสัญญาณไปที่ SHOUTcast server

ในการส่งสัญญาณจากเครื่องที่ทำหน้าที่จัดรายการ (DJ) จะต้องทำการติดตั้ง DSP plug-in ซึ่งที่นิยมใช้กันจะมีอยู่สองทางเลือกคือ ติดตั้งกับ Winamp และ SAM ซึ่งการติดตั้งทั้งสองแบบสามารถใช้งานได้เหมือนกัน

1. ดาวน์โหลด DSP plug-in จากเว็บ http://www.shoutcast.com/ ในส่วน be a d.j. ตามรูป


หรือ http://www.shoutcast.com/downloads/shoutcast-dsp-1-9-0-windows.exe

2. ทำการติดตั้ง DSP plug-in ของ Winamp

3. เปิด Winamp ขึ้นมาเพื่อทำการปรับแต่งค่า โดยไปที่ Options -> Preferences เลือก DSP/Effect -> Nullsoft SHOUTcast Source DSP v1.9.0 [dsp_sc.dll] ดังรูป จากนั้นจะมีหน้าต่างการปรับแต่งมาให้





โดยจะต้องใส่ค่าต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้

Address : ใส่หมายเลข IP ของเครื่องที่เป็น SHOUTcast server

Port : ใส่หมายเลข Port ที่เราได้ตั้งไว้ใน sc_serv.conf ในส่วน PortBase:

Password : ใส่รหัสผ่าน ที่เราได้ตั้งไว้ใน sc_serv.conf ในส่วน Password:

Encoder : เลือกตัวเข้ารหัสที่ได้ตั้งไว้โดยดูได้จาก Tab Encoder โดยสามารถปรับแต่งได้ว่าจะทำการส่งสัญญาณที่ระดับใด ตามรูปจะส่งสัญญาณเป็น MP3 ที่ระดับ 96kbps, 4400Hz, Stereo



เมื่อทำการปรับค่าต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็ส่งสัญญาณได้โดยกดที่ปุ่ม Connect เสร็จแล้วทำการเล่นเพลงใน Winamp ก็จะเห็นการส่งสัญญาณไปที่ SHOUTcast server



ขั้นตอนการติดตั้ง SAM Broadcaster เพื่อส่งสัญญาณไปที่ SHOUTcast server

หากต้องการใช้ SAM Broadcaster ส่งสัญญาณแทน Winamp สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.spacialaudio.com/products/sambroadcaster โดย SAM จะต้องติดตั้งกับฐานข้อมูลด้วย แล้วแต่ความต้องการว่าจะใช้ฐานข้อมูลอะไร แต่แนะนำ MySQL ดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ที่ http://www.mysql.com/ โดยจะต้องติดตั้ง MySQL ก่อน แล้วติดตั้ง SAM Broadcaster หลังจากติดตั้งเสร็จทำการตั้งค่าดังนี้

เปิด SAM Broadcaster ขึ้นมาแล้วไปที่เมนู Window -> Encoders จะมีหน้าต่าง Encoders ดังรูป



จากนั้นให้เพิ่ม Encoder ใหม่โดยคลิกที่ปุ่มเครื่องหมาย + จะมีหน้าต่างให้เลือกว่าจะใช้ Encoder ตัวไหน ลองเลือกเป็น Legacy MP3 (ACM Codec)



จากนั้นเลือก Bitrate ที่ต้องการได้ที่ปุ่ม Choose Format



เปิดไปที่ Server Details ใส่รายละเอียดดังนี้

Server Type : ShoutCast

Server IP : หมายเลข IP ของเครื่องที่เป็น SHOUTcast server

Server Port : หมายเลข Port ที่ตั้งไว้เพื่อให้บริการ

Password : รหัสผ่านในการส่งสัญญาณไปยัง SHOUTcast server

ส่วนใน Station Details จะใส่หรือไม่ก็ได้



เสร็จแล้วทำการ Start Encoder และเปิดเพลงใน SAM ก็จะเป็นการส่งสัญญาณไปที่ SHOUTcast server แล้ว ดูได้จากสถานะตามรูปด้านล่าง





ขั้นตอนการเปิดฟัง Radio Online

ในการเปิดฟัง Radio Online เราสามารถใช้โปรแกรมเล่นเพลงต่าง ๆ เปิดได้โดยใส่ URL ดังนี้ http://ip/ เช่น http://61.47.10.204:8000/





ที่มา http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=32145

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

DVI port คืออะไร




DVI port ย่อมาจาก "Digital Visual interface " ซึ่งจะมีกับโปรเจคเตอร์ epson บางรุ่น หรือ มีใน port การ์ดจอบาง รุ่น ซึ่ง DVI port จะมีอยู่ 6 แบบ นะครับ ดังรูป


มันดีกว่า D-sub15 เข็ม ยังไง??

เพราะการ์ดจอเดิมที มันต้องแปลงดิจิตอลไปเป็นอนาล็อคก่อน (D-sub) เลยทำให้ภาพอาจจะมีการบิดเบือนเล็กน้อยดังนั้น DVI จึงคมชัดกว่า เพราะไม่ผ่านการแปลงเป็นอนาล็อค คือ การ์ดจอส่งอนาล็อคมา ภาพก็แสดงผลอนาล็อคได้ทันที ภาพจึงมีความคมชัดกว่า

ส่วน Dual DVI ก็คือมี Port DVI 2 ช่อง ต่อได้ 2 จอ

แต่ Port DVI ในสมัยนี้ก็ยังมีสัญญาณ Analog ปนมาด้วยเล็กน้อยครับมันจึงยังมีปัญหาอยู่กับจอ LCD พวกที่เป็น Port DVI มาให้กับจอ

จอ LCD DVI แนะนำ samsung 2232gw www.hardforum.com/showthread.php?t=1190899
หรือ Hp w2207h www.rc-plus.net/board/index.php?topic=1065.0

หม่องมา

http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=101
http://forums.overclockzone.com/forums/showthread.php?t=212322

โครงสร้างของ USB 2.0


การที่ USB มีการสนับสนุนการส่งถ่ายข้อมูลหลายรูปแบบดังกล่าวจึงทำให้ USB สามารถรองรับอุปกรณ์ I/O ได้หลากหลาย เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ISDN นอกจากนี้ USB ยังยอมให้มีการเชื่อมต่อแบบ Hot Plug ซึ่งในที่นี้หมายถึงเราสามารถติดต ั้งอุปกรณ์ I/O ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

4955

ความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลของ USB

USB มีรูปแบบความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลได้ 2 แบบดังนี้

(1) ความเร็ว 12 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วสูง เช่น Zip Drive,Scanner และ Printer

(2) ความเร็ว 1.5 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอยสติ๊ก



ส่วนประกอบของ USB

ส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของ USB ทั้งทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประกอบด้วย

USB ฮาร์ดแวร์

USB Controller /Root Hub

USB Hubs

อุปกรณ์ USB

USB Software

USB Device Drivers

USB Driver

Host Controller Driver



Controller /Root Hub



การสื่อสารข้อมูลทั้งหมดบนระบบ USB เริ่มมาจาก Host ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่ง Host นี้ประกอบไปด้วย USB Host Controller ซึ่งเป็นระบบควบคุมที่ทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลบน USB Bus นอกจากนี้ก็มี Root Hub ซึ ่งเป็น Port ซึ่งใช้เป็นที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB บนเมนบอร์ด ซึ่งจะมีชิปที่ทำหน้าที่เป็น USB Host Controller ดังนี้

Open Host Controller (OHC) ได้แก่ เบอร์ 8x931

Universal Host Controller (UHC) ได้แก่ เบอร์ 80x930



Host Controller



Host Controller มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลการขนถ่ายข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ของ Host Controller Driver หรือ HCD ซอฟต์แวร์จะจัดสร้างรายการที่ใช้เชื่อมโยงกับชุดของข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ในหน่วยความจำที่ได้กำหนดเรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายเทกั นเกิดขึ้นเมื่อใด โครงสร้างของข้อมูลนี้เราเรียกว่า Transfer Descriptor ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับ Host Controller ในอันที่จะทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลขั้น ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวประกอบไปด้วย

ตำแหน่ง Address หรือที่อยู่ของอุปกรณ์ USB

ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลว่าเป็นแบบใด

ทิศทางการไหลของข้อมูลข่าวสารว่าจะไหลจากไหนไปไหน

ตำแหน่ง Address ของ Memory Buffer สำหรับ Device Driver

เมื่อ Host Controller จะส่งข้อมูลไปที่อุปกรณ์ USB ปลายทาง ก็ทำได้โดยการอ่านข้อมูลจาก Memory Buffer ซึ่ง USB Device Driver เป็นผู้จัดสรรให้ ที่ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดส่งไปที่อุปกรณ์ปลายทาง โดย Host Controller จะทำหน้าที่เป็นผู้แปลงข้อมูลจากขนานไปเป็นแบบอ นุกรม จากนั้นก็จัดให้มีการถ่ายเทข้อมูลโดยส่งออกไปที่ Root Hub เพื่อส่งต่อไปที่บัส

ในกรณีที่ต้องการจะอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ USB ตัว Host Controller จะสร้างสภาวะการติดต่อเพื่ออ่านข้อมูลขึ้น จากนั้นก็จะส่งคำขอการอ่านข้อมูลไปที่ Root Hub ซึ่ง Root Hub ก็จะส่งผ่านการขออ่านนี้ไปบน USB Bus

ดังนั้นอุปกรณ์ปลายทางจะรู้ตัวว่าตัวเองกำหลังถู กเรียกใช้งานและได้รับการ้องขอให้ปลอดปล่อยข้อมูลออกมา อุปกรณ์ปลายทางนี้ก็จะปล่อยข้อมูลตามที่ต้องการไปที่ Root Hub ซึ่งก็จะส่งต่อข้อมูลนี้ไปที่ Host Controller อีกที่หนึ่ง จากนั้น Host Controller ก็จะนำข้อมูลที่ได้รับมาเป็นแบบอนุกรรมนี้มาทำการแปลงให้เป็น ขนาน จากนั้นก็จะนำไปเก็บไว้ที่ Memory Buffer ของ Device Driver อีกทีหนึ่ง



Root Hub



การติดต่อเพื่อสื่อสารข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดย Host Controller จะถูกส่งต่อไปที่ Root Hub เพื่อให้ส่งต่อไปที่ USB Bus ซึ่งเป็นที่ ๆ อุปกรณ์ USB ได้เชื่อมต่อกับตัว Root Hub ซึ่งจัดได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ USB และมีหน้าที่ทำงานหลักดัง นี้

ควบคุมการเชื่อมต่อที่ USB Port

ทำหน้าที Enable/Disable Port (ทำให้ Port ทำงานหรือไม่ทำงาน)

ทำหน้าที่ตรวจสอบดูว่าแตะละ Port ของ Root Hub ติดตั้งอุปกรณ์อะไรบ้าง

สามารถจัดตั้งหรือรายงานสถานะของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Port ต่าง ๆ



USB Hubs



นอกเหนือจาก Root Hub แล้ว ระบบ USB ยังสนับสนุน Hub อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นส่วนขยายของระบบ USB จุดประสงค์เพื่อขยายขนาดการเชื่อมต่อเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ USB ได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะการเชื่อมต่อจะเป็นแบบพ่วง Hub กันไปเรื่อย ๆ Hub ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub นี้มีไว้เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB ต่าง ๆ เช่นคีย์บอร์ดหรือจอภาพ ยิ่งไปกว่านั้น Hub เหล่านี้สามารถมีแหล่งจ่ายไฟเป็นของตนเองเป็นการเฉพาะ หรือจะใช้แรงดันไฟจากสาย USB ก็ได้ การจ่ายไฟให้กับ Hub เหล่านี้โดยผ่านทางสาย USB จะมีข้อจำกัดปริมาณของกำลังงานที่จ่ายออกมาที่ Bus และ ด้วยกำลังที่จ่ายออกมาที่ Bus นี้เองทำให้เกิดข้อจำกัดที่ไม่สามารถติดตั้งได้เกิน 4 USB Port ส่วนประกอบของ Hub มี 2 แบบดังนี้

Hub Controller

Hub Repeater



1. Hub Controller

ประกอบไปด้วย USB Interface ซึ่งเป็นแผงควบคุมภายใน Hub บางทีจะเรียกว่า Serial Interface Engine (SIE) ซึ่งแผงควบคุมนี้จะติดตั้ง Firmware ซึ่งเป็นอุปกรณ์หน่วยความจำประเภท EEPROM ที่สามารถโปรแกรมได้ ภายในหน่วยความจำประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารเรียกว่า Descri ptor ที่มีไว้เพื่อใช้ซอฟต์แวร์อ่านเพื่อพิสูจน์ความมีตัวตนของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Port ของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรวบรวมเอาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานะของ Hub และ Port ซึ่งซอฟต์แวร์ของ USB Host นำไปใช้เพื่อตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อหรือไ ด้ถอดออกไปจาก Port ของ Hub แล้ว รวมทั้งตรวจสอบดูสถานะการทำงานของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรับเอาคำสั่งจากซอฟต์แวร์ของ Host เพื่อควบคุมการทำงานของ Hub ได้อีกด้วย



2. Hub Repeater



ข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บน USB Bus จะต้องวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะวิ่งไปตามกระแสจากล่างขึ้นบน(วิ่งจากอุปกรณ์ไปยัง Host) หรือวิ่งไปตามกระแสลงข้างล่าง (วิ่งจาก Host มายังอุปกรณ์ USB) โดยที่การส่งกระจายข้อมูลจาก Host จะต้องวิ่งไปที่ Root Port ของ Hub และ จะวิ่งไปยัง Port ทั้งหมดของ Hub ที่ยังทำงานอยู่ เมื่ออุปกรณ์ USB ปลายทางได้รับการติดต่อจาก Host แล้ว จะส่งข่าวสารที่เป็นการตอบสนอง วิ่งเป็นกระแสขึ้นบนกลับมาที่ Host โดยที่ Hub จะส่งต่อไปที่ Port ของ USB ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub(เรียกว่า Downstream Port) เพื่อส่งต่อไปที่ Root Hub จากนั้น Root Hub ก็จะส่งต่อไปที่ Host อีกทีหนึ่ง





ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลบน USB

USB สามารถตอบสนองความต้องการที่จะส่งถ่ายข้อมูลหลากหลายชนิดจากแอพพลิเคชัน ซึ่งในระบบ USB สามารถมีระบบการถ่ายเทข้อมูลได้ 4 แบบ ดังนี้

Interrupt Transfer-Interrupt Transfer

Bulk Transfer-Bulk Transfer

Isochronous Transfer

Control Transfer-Control Transfer



การเชื่อมต่อและสาย

USB Connector ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยอมให้อุปกรณ์รอบข้างหรือ Peripheral สามารถเชื่อมต่อเข้ามาที่ทางช่องเสียบของฮับได้ ช่องเสียบของฮับนี้ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์ หรืออาจเกี่ยวพันกับอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น จอภาพ และ เครื่องพิมพ์ หรืออาจจะเป ็นช่องเสียบของฮับแบบโดดเดี่ยว



1 Connector

อุปกรณ์รอบข้างแบบ USB จะต้องมีการเชื่อมต่อกับช่องเสียบด้วยสัญญาณหาก Connector ที่ปลายทั้งสองด้านของสาย USB เป็นแบบเดียวกัน ก็แสดงว่ามีการเชื่อมต่อสายระหว่างช่องเสียบ USB มาตรฐาน USB ซึ่งได้ออกแบบ Connector เพื่อใช้งานอยู่ 2 แบบ

(1) Series A Connector เป็น Connector เพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง USB Port กับสายเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral)

(2) Series B Connector ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์รอบข้าง

แสดงลักษณะของ USB Port ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์



2 สายของ USB

มาตรฐานของ USB ได้กำหนดอัตราความเร็วสูงสุดสำหรับช่องทาง USB ไว้ที่ 12 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดและช่องทางย่อยที่ความเร็ว 1.5 MB/s สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการถ่ายเทที่ความเร็วสูงสุดจะต้องถูกออกแบบเป็นพิเศษเพื่อป้องกันสัญญาณรับกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะ ที่สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการส่งข้อมูลความเร็วต่ำถูกนำมาใช้กับการเชื่อมอุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด

(1) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วต่ำ สายสัญญาณชนิดนี้จะส่งผ่านข้อมูลต่ำที่ความเร็ว 1.5 MB/s ถูกนำมาใช้งานที่ไม่ต้องการแบนด์วิดธ์หรือช่องสัญญาณกว้าง และความยาวของสายสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3 เมตร ขนาดของเส้นลวดคือ 28 AWG

(2) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วสูง สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายตีเกลียวประเภท Shieled Twisted Pair หรือ สายตีเกลียวที่ห่อหุ้มด้วยสื่อที่ป้องกันสัญญาณรบกวน รวมทั้งสายแบบธรรมดา สายสัญญาณประเภทนี้มีระยะทางสูงสุดไม่เกิน 5 เมตร อีกทั้งมี Propagation Delay ไม่เกิน 30 ns เมื่อทำงานที่ความถี่ตั้งแต่ 1-16 MHz4954

หม่องมา
http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=103

มารู้จัก USB 2.0 High speed กันเถอะ


ในโลกปัจจุบันมีการใช้การเชื่อมต่อสือสารโดยใช้ USB มากกว่า 2 พันล้าน ซึ่ง USB นั้นกำลังจะได้กลายเป็นมาตราฐานในอุสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในไม่ช้า เพราะด้วยประสิทธิภาพที่เร็ว และความสมบูรณ์พร้อมที่จะก้าวเข้าสูโลกการสือสารที่ต้องการความรวดเร็ว USB จึงเป็นอุปกรณ์ไร้สายใหม่ที่รวบความเร็วและความปลอดภัยและง่านต่อการใช้งานไว้ในอุปกรณ์นี้ การติดต่อสื่อสารไร้สายอธิเช่น รูปแบบการติดต่อสื่อสารทาง Mobile Computing USB จะสนับสนุนการทำงานแบบ High speed wireless โดยร่วมกับ WiMedia MB-OFDM Ultrawideband(UWB) ซึ่งเป็น Platform Radio ที่จะพัฒนาโดย WiMedia Alliance



UWB เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่อง High bandwidth และ ต้นทุนต่ำ แต่ยังไม่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตจะเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่แพร่หลายอย่างแน่นอน

* USB เป็นที่หนึ่งของ high speed ในการติดต่อสือสารที่ต้องการความรวดเร็วเช่น Mutimedia ,PC peripherals,Mobile device

* USB จะป้องกันอันตรายของการทำงาน และสนับสนุน Streaming media CE device และ peripherals

* USB มีประสิทธิภาพได้มากถึง 480 Mbps ถึง 3 meter และ 110 Mbps ถึง10 meters



USB พอร์ทสื่อสารอนุกรม ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 127 อุปกรณ์ ด้วยความเร็วที่มากกว่า ถึง 12Mbits/s และจะมากถึงประมาณ 400 Mbits/s บน USB 2.0 เทคโนโลยี USB นี้มีความสามารถถึงขนาดนี้ได้อย่างไร



USB คืออะไร

4950

การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆจำเป็นที่จะต้องมี I/Oพอร์ทเพื่อใช้ในการสื่อสาร ( I/O = input , output ) ในสมัยก่อน พอร์ทที่รู้จักกันดี ก็คือ serial port หรือเรียกกันว่า com port และ parallel port แต่ข้อจำกัดของ พอร์ท เหล่านี้นั้นมีมากพอสมควรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเร็ว จำนวนอุปกรณ์จะนำมาต่อได้ และคุณสมบัติทางด้าน Plug & Play USB ก็เป็น I/O port ที่ทำงานในลักษณะ serial bus เช่นกัน สามารถต่อได้กับอุปกรณ์ถึง 127 อุปกรณ์ ต่อ 1 พอร์ท และ สนับสนุนการทำงานแบบ Plug & Play การทำงานในรูปแบบของdaisy-chain devices led อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะทำการ ค้นหา และ ตั้งค่าของอุปกรณ์ที่นำมาต่อให้อย่าง อัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้อง assign ค่า IRQ เพียงแต่ใส่แผ่น Driver ของอุปกรณ์ที่นำมาติดตั้ง และส่วนมากไม่จำเป็นต้อง reboot เครื่องหลังจากติดตั้ง Driver ด้วย ถ้าหากอุปกรณ์นั้นใช้กำลังไฟฟ้าไม่มาก Port USB ก็จ่ายไฟเลี้ยงให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ด้วย

USB ใช้ระบบการจัดส่งข้อมูลอย่างไร

สำหรับ USB เราเรียกระบบบัสเช่นนี้ว่า การติดต่อแบบ "Host/Slave" หมายถึงตัว PC จะเป็นผู้จัดการ การจัดส่งข้อมูลทั้งหมด และอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเพียงแต่พร้อมที่จะรับส่งข้อมูลเท่านั้น โดยตัว USB Host Controller หรือตัวควบคุมของ USB นั้น จะรวมอยู่ในตัว Chipset บนเมนบอร์ด แต่ถ้าหากเป็น Chipset รุ่นเก่าๆก็จะยังไม่มีตัวควบคุม USB ในการจัดส่งข้อมูลนั้น ภายในสาย USB จะมีสายภายในทั้งหมด 4 เส้น ในจำนวนนี้ 2 เส้นใช้เพื่อเป็นสายในการส่งข้อมูล อีก 2 เส้นใช้สำหรับจ่ายไฟเลี้ยง แรงดัน +5 V และ กราวด์ ข้อมูลที่ถูกส่งผ่าน USB นั้นจะต่างไปจาก Parallel และ Serial port ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้นั้น จะส่งข้อมูลเป็น bits เดี่ยวๆ แต่ USB จะส่งเป็นชุดข้อมูล อย่างเช่น ถ้าหากต้องการ เก็บข้อมูลไปยัง USB Zip drive PC จะทำการแบ่งข้อมูลออก มา 64-bytes แล้วใส่ข้อมูลของ address เข้าไปแล้วส่งไปยัง USB port จากนั้นก็จะทำเช่นนี้จนกระทั่งส่งข้อมูลครบสิ่งที่ทำให้ USB ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 12Mbits/s นั้นอยู่ที่แม่นยำของการส่ง เพราะ สายที่นำมาใช้สำหรับ USB นั้น มีระดับสัญญาณรบกวน และ ความเพี้ยนของรูปสัญญาณนั้นน้อยกว่า ทั้ง Parallel และ Serial port และการส่งสัญญาณแบบ isochronous data delivery หมายถึง อุปกรณ์แต่ล่ะชิ้นบนระบบบัสนั้น จะถูกจำกัดขนาดของ bandwidth ให้แน่นอน อย่างไรก็ตาม bandwidth โดยรวมแล้วก็ไม่เกิน 12 Mbits/s นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ USB สามารถต่ออุปกรณ์ได้มากที่สุด 127 อุปกรณ์





จากภาพที่เห็นการต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงออกจากเครื่อง PC ไปยัง อุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น จาก port USB แรก ไปยัง Powered USB Hub แล้วต่อไปยังอุปกรณ์ อื่นๆ รวมถึงต่อไปยัง Powered USB Hub เพื่อต่ออุปกรณ์เพิ่มเข้าได้อีกได้เรื่อยๆ ในลักษณะของการต่อแบบ อนุกรม ส่วน port USB ชุดที่ 2 หลังเครื่องนั้นสามารถต่อไปยัง Monitor ได้โดยอิสระต่อกัน จะสังเกตุได้ว่าหากการต่อมี USB Hub เข้ามาต่อพ่วงด้วย ที่ตัว Hub จำเป็นจะต้องมีชุดจ่ายไฟด้วย เพราะลำพังไฟเลี้ยงจากตัว PC เองคงไม่พอที่จะส่งไปเลี้ยงอุปกรณ์ ต่างๆ ได้



ดังนั้นเราอาจมองได้ว่าสิ่งที่จะต่อจาก USB port นั้นมี 2 ชนิด ก็คือ ต่อเข้าได้กับ Hubs หรือต่อกับ อุปกรณ์ Hubs นั้นมีหน้าที่ ทำให้ สามารถต่ออุปกรณได้มากขึ้นบนระบบบัส บางครั้ง Hubs จะเข้าไป รวมกับอุปกรณ์ อย่างเช่น Monitor ที่มี USB Hubs ในตัว โดยจะ สามารถปรับค่าต่างๆของ Monitor ผ่านระบบปฏิบัติการณ์ และ นอกจากนั้นมีหน้าที่เป็น Hubs ด้วย



Features ที่น่าสนใจของ USB

ก็คือ Hot Pluging และ Plug & Play Feature Hot Pluging นี้นั้นทำให้ เราสามารถที่จะต่อ และ ถอด อุปกรณ์ USB ได้โดยไม่จำเป็นต้อง restart เมื่อ Plug USB ต่อเข้ากับ USB port แล้ว อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเข้าไปจะทำการส่งสัญญาณไปยังเครื่อง PC เพื่อบอกว่าตัวอุปกรณ์นั้น ได้อยู่บนระบบบัสแล้ว และเมื่อติดต่อกัน เรียนร้อย ตัวอุปกรณ์จะส่งข้อมูลของ bandwidth ที่อุปกรณ์นั้นต้อง การไปยัง PC ใน USB มาตรฐานปัจจุบันคือ USB 1.1นั้น ได้แบ่งแยก bandwidth ออกไป 2 ชนิดคือ ความเร็วต่ำ และ ความเร็วปานกลาง โดย อุปกรณ์ ความเร็วต่ำนั้น อย่างเช่น keyboard mouse เป็นต้น และ bandwidth ของอุปกรณ์ความ เร็วต่ำจะถูกจำกัดอยู่ที่ 1.5Mbits/s และอุปกรณ์ความเร็วปานกลาง อย่างเช่น Printer , Scanner , Webcamera อุปกรณ์ ความเร็วปานกลาง เช่นนี้สามารถที่จะส่งข้อมูลได้เต็ม bandwidth คือ 12 Mbits/s หลังจาก PC จัดการกับ ค่า bandwidth ที่อุปกรณ์ต้องการแล้วก็จะกำหนด ค่าหมายเลข ให้กับอุปกรณ์เพื่อจะใช้ในการรับส่งข้อมูล เช่นเดียวกับ IRQ นั่นเอง และหาก ถอดอุปกรณ์ออก PC จะทำการกำหนดค่า bandwidth และ หมายเลขใหม่ ส่วนระบบ Plug & Play นั้นหมายถึง เมื่อติดตั้ง อุปกรณ์เข้าไปอุปกรณ์นั้นๆจะสามารถทำงานได้ในระดับหนึ่งโดยไม่จำเป็นที่จะต้องการ Driver โดย Windows98 จะมี Driver อยู่ในตัวอย่างเช่นอุปกรณ์จำพวก keyboard , mouse และ external hard drives แต่อุปกรณ์อื่นๆก็ยังมักจะต้องมี Driver สำหรับอุปกรณ์นั้นๆ



USB นั้นแพร่หลายแค่ไหน

ในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ต่อพ่วงส่วนมากหันมาใช้ USB กันมากแล้ว บริษัทผู้ผลิต CPU รายใหญ่อย่าง Intel เองก็ได้ใส่ Host Controller ลงใน Chipset ตั้งแต่ Chipset TX มาแล้ว และ OS (operating systems) ในปัจจุบันก็รองรับการทำงานกับ USB ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น Windows 98/2000, Linux (development kernels only), and Mac OS ทั้งนี้รวมไปถึง Dell, Compaq, NEC ที่เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ก็ใช้ USB มานานพอสมควรแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนในยุคแรกๆ นั้นอุปกรณ์ USB ยังอาจจะไม่สามารถใช้กับเครื่องรุ่นเก่าได้แต่ก็มีอุปกรณ์ที่เป็น PCI card เพื่อให้สามารถต่อ USB ได้ แต่ทุกวันนี้เครื่องบาง เครื่องนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้กับ keyboard , mouse USB เลยโดยจะไม่ใช้ port PS/2 เลยและ อุปกรณ์ที่เมื่อก่อนใช้กับ Parallel Port เท่านั้นอย่าง Printer และ Scanner ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาใช้ Port USB โดยที่ราคาไม่ได้สูงจากเดิมมากนัก และต่อไป external drive ไม่ว่าจะเป็น Zip drive หรือ CD-RW drive ก็จะหันมาใช้ USB กัน และยิ่งถ้าหาก USB 2.0 แพร่หลายเชื่อว่า อุปกรณ์ต่อพ่วงเกือบทั้งหมดจะใช้ USB



USB 2.0





USB 2.0 นั้นเป็นเทคโนโลยีของปี 2000 อย่างแท้จริง เพราะ USB 2.0 นั้นได้รับการพัฒนาจน สามารถเร็วกว่า USB 1.1 ในปัจจุบันกว่า 40 เท่า USB 2.0 นั้นก็คือ มาตรฐาน IEEE 1394 ที่ทาง Apple เป็นผู้พัฒนาขึ้นมาและเรียกเทคโนโลยีว่า FireWire และ FireWire หรือ USB 2.0 นั้นมี เป้าหมายในการ รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วประมาณ 360 - 480 Mbits/s หรือ ประมาณ 60 MB/s แต่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเครื่อง PC โดยทาง Intel ก็พบว่าความเร็วอาจจะไม่ได้ ตามที่มุ่งหวังกันไว้ เนื่องจาก Chipset ในปัจจุบันของทาง Intel เองยังมีปัญหาในระดับ core logic ถ้าหากจะทำงานกับ IEEE 1394 ถึงแม้ IEEE 1394 จะเป็นหนทางที่ทำใหใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงกับ PC ได้ประสิทธิภาพสูงในราคา ต่ำแต่ยังไม่เป็นที่ยืนยันว่า Chipset รุ่นต่อไปจะรองรับการทำงานของ IEEE 1394 จากทาง Intel และ Intel ยังกล่าวอีกว่าไม่ แน่นอนในเรื่องของ ต้นทุน และ licensing สำหรับการรับ IEEE 1394 ที่จะต้องจ่ายให้กับ Apple แต่ในปัจจุบันระบบ Hardware ที่ออกแบบมาสำหรับ USB ก็ยังเป็นมาตรฐาน USB 1.1 ซึ่งความเร็วก็เพียงพอสำหรับ Printer และ Scanner และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ออกแบบมาสำหรับ USB 1.1 มากมายแล้ว นั่นทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหาก IEEE 1394 หรือ USB 2.0 มาเป็นมาตรฐานนั้น แล้วอุปกรณ์ USB รุ่นเก่าจะยังสามารถใช้กับ USB 2.0 ได้หรือไม่



Reference
http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=102

http://www.pcworld.com/

http://www.usb.org/

http://www.pantip.com/



วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

HDD.Regenerator.1.51

โปรแกรมสำหรับการฟอแมตเครื่องแบบ ทำลายล้าง.....รักษา BAD Sector ที่พบ เมื่อก่อนได้ยินมาว่า ใช้ในงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

ที่มา

http://www.thaiopenlinux.com/articles/WindowsTips/remove-bad-sector-with-hddregenerator.html

ขออนุญาตินำมาอ้างอิงนะครับ



หลาย ๆ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์อาจจะเจอปัญหา Haddisk ที่ใช้ไปนาน ๆ จะเกิด Bad Sector หรือเกิดมาจากหลาย สาเหตุ เช่น ไฟฟ้าดับ ไฟกระซาก หรือจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม อย่าเพิ่งทิ้ง Harddisk ไปเสียละ เรามีทางแก้ที่คุณอาจซุบชีวิต HDD ของคุณให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ซึ่งผมเองก็ใช้วิธีแก้นี้อยู่เป็นประจำ ก่อนหน้านี้มีลูกค้าของผมเอา HDD ที่มี Bad จนใช้งานอะไรไม่ได้มาทิืงไว้ที่ร้านหลายตัวเช่น ซึ่งการแก้โดยวิธีนี้ผมได้วิธีการมาจากน้อง ๆ ในสำนักงานที่

หาวิธีเอาข้อมูลคืนจาก HDD ที่เสีย หลังจากนั้นก็ลองกับ HDD ที่ลูกค้าเอามาทิ้งไว้นั่นแหละ ปรากฏว่าสามารถชุบชีวิตมันคืนได้เกือบทั้งหมด มาดูวิธีการกันดีกว่า

เตรียมพร้อม

ให้ไป Download โปรแกรม HDD Regenerator จากเว็บ http://www.rundegren.com หรือ คลิกที่นี่ เลือกเอาเวอร์ชั่นที่ใหม่ที่สุด ส่วนผมใช้ HDD Regenerator v1.42



เตรียมแผ่นงาน

1. ให้แตก ZIP ออกก็จะได้โปรแกรมดังภาพ


2. เตรียมแผ่น Floppy Disk เปล่าที่ Format เสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ใน Drive A เตรียมไว้เลย

3. ให้ Double click ที่ icon ของโปรแกรมดังในรูปข้างบน ก็ทำตามขั้นตอนไปเลย



คลิกที่ปุ่ม Create เพื่อสร้างแผ่นโปรแกรม




โปรแกรมก็จะเริ่มทำการสร้างแผ่น



เมื่อเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม OK ก็เป็นเสร็จสิ้นการสร้างแผ่นโปรแกรม


การเอา Bad Sector ออกจาก HDD
1. ให้ใส่ HDD ที่มี Bad Sector เข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อม Detect HDD ให้เรียบร้อย

ใส่แผ่น Floppy Disk ที่เราสร้างโปรแกรมเมื่อขั้นตอนที่ผ่านมาใน Drive Floppy Disk

ตั้งการ Boot ให้ใน Bios ให้ Boot จาก Floppy Disk

เริ่ม Boot เครื่องได้





ระบบก็จะทำการตรวจสอบว่ามี HDD อยู่กี่ตัว เพื่อให้เราเลือก SCAN เพื่อ Remove Bad Sector



หากต้องการให้ SCAN ทั้งหมดก็ให้ Enter ผ่านไปเลยหลังจากนั้นโปรแกรมก็จะทำการ

SCAN HDD ให้เพื่อ Remove ไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้น ซึ่งเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหาก็ขึ้น

อยู่กับพื้นที่ที่เกิด Bad Sector หากมากก็ใช้เวลามาก

ซึ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ผมลองมาแล้วกับ HDD ที่เขาทิ้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็นำกลับมา

ใช้ได้เกือบ 90 % แต่หาก Scan แล้วยังมีปัญหา Bad Sector แนะนำให้นำ HDD มา

FDISK ใหม่ก่อน แล้วค่อยนำไปใช้งาน จะแก้ปัญหาได้

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก า ร เ กิ ด B a d ข อ ง Ha r d d i s k

บทความนี้ได้มาจากการที่มีผู้ใจดีมาโพสต์ไว้ในกระทู้ของ pantip.com ซึ่งเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ และไม่อยากให้บทความดี ๆ ต้องสูญหายไป ดังนั้น จึงขอนำเอาข้อความที่มีผู้มาโพสต์นี้ เก็บไว้ในที่แห่งนี้ เพื่อเผยแพร่ค่ะ (ขอให้อ่านโดยใช้ความเชื่อของท่านเองนะคะว่าจะเชื่อหรือไม่ อย่างไร)

การ Low-level Format และ High-level Format


การ Low-lovel Format
เป็นกระบวนการทำงานของฮาร์ดดิสก์โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างหรือกำหนด
Track, Sector หรืออธิบายได้อีกอย่างว่าเป็นการเขียนโครงสร้างของ
Track,Sector ตามรูปแบบที่ Firmware
ภายในฮาร์ดดิสก์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้การทำงานของกลไกภายในกับวงจรควบคุมหรือ
PCB สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน ซึ่งการ
Low-level Format นั้นเป็นการลบข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยที่ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกลบไปอย่างถาวรจริง




ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า
การ Low-level Format นั้น เป็นกระบวนการทำงานหรือเป็นคำสั่งของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า
ที่ยังใช้ Actuator แบบ Stepper Motor
,ใช้ระบบ Servo เก่า ๆ แบบ Dedicated
Servo, มีการใช้โครงสร้างของ Track,
Sector แบบเก่า ซึ่งฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่และไม่เหมือนกันเลย
การใช้ Stepper Motor เป็น Actuator
ของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ๆ นั้น มีข้อเสียหรือจุดอ่อนตรงที่เมื่อเราใช้ไปนาน
ๆ เฟืองกลไกภายใน Motor จะหลวม ทำให้การควบคุมให้หัวอ่าน/เขียนอยู่นิ่ง
ๆ บน Track (ที่จะอ่านข้อมูล)เป็นไปได้ยาก
และอีกสาเหตุที่กลไกหลวม ก็เพราะอุณหภูมิที่สูงซึ่งเกิดจากการที่ตัว
Actuator เคลื่อนที่ไปมาเพื่อหาข้อมูล
แน่นอนค่ะ



มันเป็นโลหะที่ต้องมีความร้อนเกิดขึ้น
เปรียบเทียบก็เหมือนกับ Ster รถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์
ที่ต้องรูด เมื่อเจอกับโซ่ที่ลากผ่านไปมาเป็นเวลานาน
ๆ และก็เป็นสาเหตุให้หัว/อ่านเขียน
ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้อย่าง ถูกต้อง
ยิ่งนับวันอาการก็จะรุนแรงมากขึ้น



อีกประการหนึ่งที่การ Low-level Format
ไม่สามารถนำมาใช้กับ ฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ได้ก็เพราะโครงสร้างการจัดวาง
Track, Sector ไม่เหมือนกัน ฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าจะมีจำนวนของ
Sector ต่อ Track คงที่ ทุก ๆ Track
แต่ในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ จำนวนของ
Sector จะแปรผันไปตามความยาว ของเส้นรอบวง
(ของ Trackนั่นแหละค่ะ) ยิ่งต่างรุ่นต่างยี่ห้อต่างความจุ
ก็ยิ่งต่างไปกันใหญ่ หากเราฝืนไป
Low-level Format บอกตรง ๆ ว่านึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ฮาร์ดดิสก์อาจไม่รับคำสั่งนี้เพราะ
ไม่รู้จักหรืออาจรับคำสั่งแล้วแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
จนอาจจะทำให้วงจรคอนโทรลเลอร์ (PCB)
สับสนกันเอง (ระหว่าง IC) จนตัวมันเสียหายก็ได้
แต่ถ้าฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนท่านใดเป็นรุ่นเก่า
ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่เอ่ยมา และมี
BIOS ที่สนับสนุนก็สามารถ Low-level
Format ได้ครับ (เช่น คอมฯ รุ่น 286
ที่มี Hdd 40MB.) เราจะเห็นได้ว่า
BIOS รุ่นใหม่จะไม่มีฟังก์ชั่น Low-level
Format แล้ว เพราะ BIOS ก็ไม่อาจที่จะรู้จักโครงสร้าง
Track, Sector ของฮาร์ดดิสก์ได้ทุกยี่ห้อ
ทุกรุ่นเพราะความต่างอย่างที่บอกไว้ละค่ะ




กลับมาสู่ความจริงของความรู้สึกเรากันหน่อยนะคะ
ซึ่งเข้าใจดีว่า เพื่อน ๆ ทุกคนหากเมื่อเจอ
Bad Sector ในฮาร์ดดิสก์ของตัวเองย่อมใจเสียแน่นอน
เพราะข้อมูล ที่อยู่ข้างในนั้นมีผลกับจิตใจ
กับความรู้สึกของเรามาก และเราต้องการที่จะได้มันคืน
และในตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิด ถึงด้วยซ้ำว่าเราซื้อมันมาแพงแค่ไหน
และถ้าหากเราได้ยิน ได้ฟังอะไรที่เล่าต่อกันมาว่า
มันสามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ของเราดีเช่นเดิมได้
เราย่อมให้ความสนใจ อยากลอง อยากได้
อยากมี แต่ว่าการ Low-level Format
นั้นใช้ไม่ได้กับฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่
ๆ เราไม่สามารถเอา สนามแม่เหล็กมาเรียงให้ดีเหมือนเดิมได้
และไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะมาช่วยได้ด้วย
ก็ต้องปลง และถนอมมัน ให้ดีที่สุด




การ High-level Format หรือการ Format (หลังจากการแบ่ง Partition แล้ว)
ที่เราเรียกกันอยู่บ่อย ๆ โดยใช้
DOS นั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำการเขียนโครงสร้างของระบบไฟล์
(FAT: File Allcation Table ซึ่งมีทั้ง
FAT32 และ FAT16) และเขียน Master
Boot Record (ซึ่งเป็นพ.ท.ที่จะเก็บแกนหลักของระบบปฏิบัติการเช่น
DOS) การ Format นี้นั้นฮาร์ดดิสก์จะไปลบ
FAT และ Master Boot Record ทิ้งไป
แต่มันไม่ได้ทำการลบทุกสิ่งทุกอย่าง
เหมือนดังเช่นเรากวาดของบนโต๊ะทิ้งไปจนเหลือแต่พื้นเรียบๆ
มันแค่ทำการเขียนข้อมูล "0000"
ลงไปบนแผ่นดิสก์ เท่านั้น ซึ่งคำว่า
"เขียนข้อมูล
0000 ก็คือการFormat ของเรานั่นแหละค่ะ"

ดังนั้นหากใครคิดว่าการ Format บ่อย
ๆ นั้น ไม่ดีก็นานาจิตตังค่ะ



บางคนถามว่า Virus ทำให้เกิด Bad Sector ได้หรือไม่
ขอตอบว่าไม่ แต่มันทำให้ ฮาร์ดดิสก์เสียได้ค่ะ
เพราะการที่มันเข้าไปฝังที่
Master Boot
Record
ค่ะ ก็ต้องแก้กันโดยการ
Fdisk
กำหนด Partition
กันใหม่ และVirus ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูล
ๆ หนึ่งที่เราจะลบทิ้งไปก็ได้ และ
Virus จะเข้าไปใน Firmware
และSystem Area ของฮาร์ดดิสก์ก็ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะ Firmware ของฮาร์ดดิสก์จะไม่ยอมให้แม้กระทั่ง
BIOS ของคอมฯเห็น Cylinder นี้ซึ่งเสมือนว่า
Cylinder นี้ไม่มีอยู่จริง การที่ฮาร์ดดิสก์พบ
Bad Sector นั้น มันจะทำการทดลองเขียน/อ่านซ้ำ
ๆ อยู่พักหนึ่งจนกว่าจะครบ Loop ที่
กำหนดแล้ว ว่าเขียนเท่าไหร่ก็อ่านไม่ได้ถูกต้องซักที
ฮาร์ดดิสก์ก็จะตีให้จุดนั้นเป็นจุดต้องห้ามที่จะเข้าไปอ่านเขียนอีก
แต่ถ้าข้อมูลสามารถกู้คืนมาได้มันก็จะถูกย้ายไปที่
ๆ เตรียมไว้เฉพาะ เมื่อฮาร์ดดิสก์ตีว่าจุดใดเสียแล้วมันจะเอาตำแหน่งนั้นไปเก็บที่
System Area ซึ่งข้อมูลที่บอกว่ามีจุดใดที่เสียบ้างนั้นจะถูกโหลดมาทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์
Boot และเราไม่สามารถเข้าไปแก้ข้อมูลนี้ได้ด้วยค่ะ
Norton ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่มันทำ ก็ทำได้แค่
Mark ไว้แล้วก็เก็บข้อมูล นี้ไว้
จากนั้นก็ทำเหมือนกับที่ Firmware
ฮาร์ดดิสก์ทำ คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
พ.ท.นี้อีก หรือหลอกเราว่าไม่มี พ.ท.เสีย
เกิดขึ้นเลย การ Format ด้วย DOS
ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกันคะ เพื่อน ๆ
บางคนคิดว่าหากมี Bad Sector แล้วมันจะขยายลุกลามออกไป
ขอตอบว่าไม่จริงค่ะ เราไม่ควรลืม
ว่า บนแผ่นดิสก์นั้นคือสารแม่เหล็กที่ฉาบอยู่
และมันหลุดได้ยาก ต่อให้หลุดแล้วก็ลามไม่ได้ด้วยนะคะ



การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector



ขอชี้แจงเรื่อง การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector
ให้เพื่อน ๆ เข้าใจสักหน่อยนะคะว่า การที่ฮารด์ดิสก์มี
Bad Cluster หรือ Bad Sector นั้น
เราไม่สามารถที่จะแก้ไขไม่ให้มันหายไปได
เพราะการทำงานของ Firmeware
ในฮารด์ดิสก์จะกำหนดไว้ว่า ถ้าหากหัวอ่าน/เขียนของมัน
พบปัญหา เช่นอ่านแล้วข้อมูลไม่ถูกต้อง
และวงจรตรวจสอบที่อยู่บน PCB มันใช้
ECC หรือ CRC หรือ Read Retry (หรือวิธีอื่น
ๆ ที่แล้วแต่เทคโนโลยีของ บ. ผู้ผลิต)
เข้ามาช่วยแล้วแต่แก้ไขไม่ได้ ฮารด์ดิสก์จะตีว่า
พ.ท.นั้นเป็น Defect
หรือกำหนดให้เป็นจุดเสียที่มันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก
และข้อมูลที่เอาไว้บอกตัวฮารด์ดิสก์เองว่าจุดใดบ้างที่เสียนั้น
จะเก็บไว้ที่ System Area ซึ่งเป็น
Cylinder ที่เราจะเข้าไปแก้ไขข้อมูลในจุดนี้ไม่ได้เลย
เพราะเป็น Cylinder ที่ฮารด์ดิสก์กันเอาไว้ให้ตัวของมันเองโดยเฉพาะ
และทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์บูตมันจะต้องเข้าไปอ่านข้อมูลที่
System Area แล้วเอามาเก็บที่ Ram
เพื่อที่จะบอกกับตัวมันเองว่ามี
พ.ท. ตรงไหนบ้างที่ห้ามเข้าไปอ่าน/เขียน



การที่จะเข้าไปแก้ข้อมูลในจุดนี้ต้องใช้เครื่องที่โรงงานผู้ผลิตนั้นออกแบบมาโดยเฉพาะ
และต่อให้เราเข้าไปแก้ได้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะ
พ.ท.ตรงนั้นอาจมีสิ่งสกปรกติดอยู่
หรือสนามแม่อาจถูกกระทบกะเทือนจนหลุดออก
ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
และในความเป็นจริงยังมีสาเหตุอื่น
ๆ อีกมากที่ทำให้เกิด Bad Cluster
หรือ Bad Sector ก็ตามแต่จะเรียก
สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ห้ามกระแทกฮารด์ดิสก์แรง
ไม่ว่ามันจะทำงานอยู่หรือไม่ก็ตาม
และเมื่อคุณจับมันก็ไม่ควรจับที่
PCB
เพราะไฟฟ้าสถิตย์ในตัวเราอาจวิ่งไปยังวงจรที่
PCB แล้วทำให้ IC เสียหายได้ และจุดนี้เองที่ร้านที่ทำให้เกิดร้านรับซ่อมฮาร์ดดิสก์
ซึ่งเขาเพียงแค่อาศัยการเปลี่ยนแผ่น
PCB ที่ประกบอยู่โดยการหารุ่นและยี่ห้อที่ตรงกันมาเปลี่ยน
ง่าย ๆ เท่านี้เอง


และการที่เราคิดว่าแผ่นดิสก์ภายในมีรอยก็น่าจะเปลี่ยนได้
ขอบอกเพื่อน ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเปิด
Cover หรือฝาครอบมันออกมาแล้วเอาแผ่นใหม่ใส่เข้าไป
เพราะบนแผ่นดิสก์ทุกแผ่นและทั้งสองด้านของแผ่นจะมีสัญญาณ
Servo เขียนอยู่ ซึ่งสัญญาณนี้จะถูกเขียนในลักษณะตัดขวางเหมือนกับการแบ่งเค้กกลม
ๆ ออกเป็นส่วน ๆ โดยที่สัญญาณนี้จะต้องตรงกันทุกแผ่นจะวางเยื้องกันไม่ได้เลย
เพราะเครื่องเขียนสัญญาณกำหนดให้ต้องตรงกัน
ซึ่งขอเปรียบเทียบกับล้อรถยนต์ที่ต้องมีจุ๊บเติมลม
ที่เราต้องเอาจุ๊บของล้อทุกล้อมาวางให้ตรงกันเพื่อที่จะบอกให้
PCB ได้รับทราบว่าจุดเริ่มต้นของดิสก์หรือ
Sector 0 หมุนไปอยู่ที่ใดบนแผ่นดิสก์
และสัญญาณนี้ไม่สามารถมองให้ได้ด้วยตาเปล่าต่อให้เอากล้องจุลทรรศมาส่องก็ไม่เห็น
การที่เราจะจับฮารด์ดิสก์ให้มีความปลอดภัยนั้นตัวเราต้องลงกราวนด์
นั่นคือเท้าเราต้องแตะพื้นให้ไฟฟ้าสถิตย์จากตัวเราไหลลงพื้นดิน
เพื่อน ๆ อาจนึกไม่ถึงว่ามันจะมีผลมากถึงขนาดว่าทำให้ฮารด์ดิสก์เสีย
แต่เราอย่าลืมว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราไปจับโลหะอะไรมาบ้างแล้วมันถ่ายเทประจุให้เราเท่าไหร่,จะมีผลต่อสิ่งอื่น
ๆ ไหมเราไม่รู้เหมือนกับรถบรรทุกขนถ่ายน้ำมัน
ที่เวลาวิ่งต้องเอาโซ่ลากไปตามถนนเพื่อระบายประจุ
หรือทำให้เกิดความต่างศักย์น้อยที่สุด
หรือเป็นศูนย์เพราะมันอันตรายมากที่เวลาเอาหัวจ่ายน้ำมันรถไปต่อกับวาลว์รับน้ำมัน
ซึ่งอาจเกิดประจุไฟ้ฟ้าวิ่งจากศักย์สูงไปศักย์ต่ำแล้วเป็นประกายไฟ
เพราะเวลารถวิ่งไปชนอากาศที่มีประจุลอยอยู่มันก็จะสะสมไปเรื่อย



อยากบอกว่าเสียดายมาก ๆ หากฮารด์ดิสก์เกิด
Bad Sector ขึ้นมาแต่ก็ต้องทำใจยอมรับ
เนื่องจากมันแก้ไขไม่ได้จริง ๆ
ต่อให้เอาเครื่องมือในโรงงานมากองต่อหน้าแล้วให้อยู่ใน
Clean Room ก็ทำไม่ได้ (ยกเว้นนั่งรื้อชิ้นส่วนออกหมดแล้วเอาแผ่นดิสก์ใหม่มาใส่เพราะเครื่องเขียน
Servo อยู่ในนั้น) แต่การที่เราจะเลี่ยงไม่ใช้
พ.ท.ที่เสียอยู่ในตอนอื่น ๆ ของข้อมูลนั้นก็ทำได้เช่นแบ่งพาร์ทิชั่นออกเป็นส่วน
ๆ โดยให้พาร์ทิชันที่เราไม่ต้องการครอบตรงจุดเสียไว้
หรือถ้าหากเราต้องการกู้ข้อมูลที่มีความสำคัญมาก
ๆ ก็ต้องใช้ Software ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
เช่น Spinrite หากถามว่าทำไม บ.ผู้ผลิตไม่ออกแบบให้ฮาร์ดดิสก์แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อน
หรือให้มันสามารถกู้ข้อมูลได้เล่า
คำตอบก็เป็นเพราะมันทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น,
และทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตหรือกว่าที่จะออกจำหน่ายได้ช้าออกไปอีก
,ทำให้ความเร็วในการทำงานลดลงด้วย

สอนการใช้งาน Virtual DJ ครับ UPDATE!!! PART II - CONFIG SECTION

การใช้งาน Virtual DJ

ผมเป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นใช้งาน Virtual DJ ครับ ก็เลยมีปัญหาการใช้งาน และคิดว่าหลาย ๆ คนก็มีปัญหาเหมือนๆ กัน
ผมเลยได้ แปลและแนะนำการใช้งาน Virtual DJ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างแก่เพื่อนๆผู้เริ่มใช้งาน Virtual DJ นะครับ

ผมใช้ Virtual DJ 4.x เป็นตัวอย่างในครั้งนี้นะครับ (Virtual DJ Version อื่น ๆ ก็ใช้งานร่วมได้นะครับ อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย)
ผมใช้ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 Internal Mixer เป็นภาพประกอบนะครับ ต้องขอขอบคุณมานะที่นี้ด้วยนะครับ

เริ่มต้นการใช้งานแบบกำนันงรัดนะครับ
การแนะนำการใช้งาน Virtual DJ อย่างกำนันงรัดนี้ เพื่อนๆ สามารถเริ่มใช้งานได้แบบแบบรวดเร็ว เป็นขั้นพื้นฐานในการใช้งาน
เพื่อที่จะนำเข้าสู่หลักการใช้งานที่ละเอียดมากขั้นต่อไปนะครับ

1. ขั้นแรกเลือกเพลงที่ต้องการจะมิกซ์ โดยการคลิกที่เพลงที่ต้องการ (ตามตัวอย่าง )
แล้วลากไปไว้ที่ Turntable ตัวที่ 1 ด้านซ้ายมือ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า DECK 1)
(ดูรูป VDJ 01)


2. คลิกปุ่ม เพื่อเล่นเพลง Play (Stutter) (ควรรอให้Virtual Dj โหลดเพลงให้เสร็จก่อนนะครับ)
(ดูรูป VDJ 02)

3. โหลดเพลงที่ต้องการจะเล่นต่อไปที่ Turntable ตัวที่ 2 ด้ายขวามือ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า DECK 2)
(ดูรูป VDJ 03)

4. ลองกดปุ่ม Play (Stutter) ที่ Deck 2 เพื่อให้เพลงทั้งสองเพลงมาเชื่อมต่อกัน
จะเห็นได้ว่าเพลงที่สองยังไม่เข้ากัน ทั้งจังหวะ(Rhythms)และความเร็วเพลง(BPM : Beat Per Minute)ยังไม่เข้ากัน

5. ทดลองโดยการคลิกขวาที่ปุ่ม Sync (Virtual DJ Version อื่นอาจเรียกว่า Beat Lock นะครับ)ที่ Dcek2 จะเห็นได้ว่า จังหวะได้เข้ากัน
(ดูรูป VDJ 04)

(สังเกตุโดยจะเห็นได้ว่าเส้นคลื่นเสียง(Waveform)บอกจังหวะบน Rhythm Window ผสานกันเป็นเส้นเดียว)

Rhythm Window 01 คลื่นเสียงที่ยังไม่เข้ากัน (ดูรูป Rhythm Window 01)
Rhythm Window 02 คลื่นเสียงที่เข้ากัน (ดูรูป Rhythm Window 02)

แต่ว่าคลื่นเสียงเข้ากันได้แต่ไม่นานก็แยกกันอีกครั้ง นั้นเป็นเพราะว่า ความเร็วของเพลง(BPM)ยังไม่เข้ากันนะครับ
(สังเกตุบนแถบข้อมูลที่แสดง BPM ว่า ทั้งสองเพลงมีความเร็วของเพลงที่ไม่เหมือนกัน)
ู(ดูรูป VDJ 05)

6. คลิกซ้ายที่ปุ่ม Sync ที่ Deck 2 สังเกตุดูว่าตอนนี้ ความเร็วของเพลงทั้งสองได้เข้ากันแล้ว

(ความเร็วเพลงของDeck ที่เรากดปุ่ม Sync จะอ้างอิงความเร็วเพลงของอีก Deck หนึ่งเสมอ เช่น เมื่อ Deck 1 มีความเร็วเพลงที่เล่นอยู่ เท่ากับ 136 BPM เมื่อกดปุ่ม Sync ที่ Deck 2 ไม่ว่าความเร็วเพลงต้นฉบับจะเป็นเท่าใดก็แล้วแต่ จะถูกปรับให้เหมือนกับความเร็วของอีก Deck หนึ่งเสมอ นั้นก็คือ 136 BPM) คงเข้าใจกันนะครับ ฮิฮิ

(ข้อควรจำอีกอย่างนั้นนะครับ การคลิกซ้ายที่ปุ่ม Sync ก็คือการทำให้ Beat ตรงกัน ส่วนการกดปุ่มขวาที่ปุ่ม Sync ก็คือการทำให้ เสียงเข้ากันนะครับ ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันอยู่นะครับ ความสำคัญของการคลิกขวาหลัก ๆ ก็คือ เอาใช้ไว้เวลาที่ Beat ใหล หรือว่ากดปุ่ม Play ช้าไปหรือเร็วไป มันจะทำให้ เสียงมาประสานกันทำให้การมิกซ์เพลงนั้นง่ายขึ้นละเนียนขึ้นละครับ)

7. จากนั้นก็ลองเลื่อน Crossfader ไปทางหรือขวาเพื่อเลือกฟังหรือค่อย ๆลดเพลงลง ให้มันเนียนๆ ฮะครับ
ลองดูกันนะครับไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ใหน ผมกำลังเตรียมที่จะแนะนำการใช้งานอื่นๆต่อไป ยังไงก็ลองดู Feedback กันก่อนละกันครับ แล้วเพื่อน ๆที่ยังไม่รู้เรื่อง BPM , การนับจังหวะ, หรือว่าศาสตร์และศิลป์ในการมิกซ์เพลงก็ลองหาอ่านดูในบอร์ดนะครับ ที่ปักหมุดนั้นละครับมีรุ่นพี่และก็เพื่อน ๆ ให้คำแนะนำกันมากครับ











* VDJ_01.JPG (57.49 KB, 720x536)



* VDJ_02.JPG (57.63 KB, 721x535)



* VDJ__03.JPG (74.79 KB, 757x570)



* VDJ_04.JPG (75.47 KB, 760x571)



* VDJ__05.JPG (75.39 KB, 761x570)



* Rhythm_Window_01.JPG (20.3 KB, 1017x88)



* Rhythm_Window_02.JPG (20 KB, 1012x87)










มาต่อเรื่อง Virtual Dj กันต่อเลยนะครับ
ต้องขอขอบคุณ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 Internal Mixer อีกเช่นเคยนะครับที่ผมใช้เป็นตัวอย่างในการแนะนำครั้งนี้ครับ

Option
หลายๆ คนที่ใช้งาน Virtual Dj อาจยังไม่เข้าใจ หรือว่า ใช้งานโปรแกรมที่เครื่องให้มาไม่ครบทั้งหมด
วันนี้ผมเลยอยากจะแนะนำเรื่อง Option ของ Virtual Dj กันนะครับ

1. การเข้าสู่โหมด Option
การเข้าสู่โหมด Option โดยการเลือกปุ่มที่มีคำว่า Config หรือบาง Skin อาจใช้คำว่า Set นะครับ
(ดูรูป การเข้าสู่โหมด Config ประกอบนะครับ)

2. เมื่อเข้าสู่โหมด Option แล้ว ก็จะมี Pop up Window ขึ้นมานะครับ

2.1 โหมดแรก Sound Set Up โหมดนี้เข้าใจง่ายครับเพราะว่ามีภาพประกอบ
(แต่ว่าบางโหมดจะไม่สามารถใช้งานได้นะครับ ต้องเป็น Version Pro เท่านั้นครับถึงจะใช้ได้)
Input เป็นการเลือกหรือไม่เลือกว่าเราจะใช้ Time code หรือ เครื่องมือในการมิกต์หรือไม่
Output เป็นการเลือกว่าเราต้องการที่จะให้เสียงออกมาในช่องทางใหนบ้าง
Sound Cards เป็นการเลือกว่า Sound Card ของเราเป็นแบบใหน
ส่วนด้านล่างเป็นช่องต่อเนื่องจากการเลือก Output และ Sound Card ว่าเราต้องการให้ Card ตัวใหนขับเสียงออกมารูปแบบใด
(อาจและอ่านแล้วงงสักหน่อยลองดูภาพประกอบที่โปรแกรมให้มารับรองว่าเข้าใจแน่นอนครับ)
2.2 Option หรือ General

General Option ประกอบไปด้วย
Auto Update : เปิด, ปิด การให้โปรแกรมตรวจสอบ Version ใหม่โดยอัตโนมัติ (ใช้ของดูดมาก็ระวังหน่อยนะครับฮิฮิ)
Charts : เป็นการเปิด, ปิด การนับจำนวนครั้งของเพลงที่เล่นจากผู้ใช้งาน Virtual Dj ทั่วโลกว่าเพลงใหนมีผู้เล่นมากที่สุด ดูข้อมูลเพลงได้จาก http://www.virtualdj.com/
Tooltip : เปิด, ปิด การให้โปรแกรมแสดงข้อความแนะนำเมื่อเมาท์อยู่บนปุ่มกด
MSN : เมื่อเราใช้งาน Virtual Dj จะมีโปรแกรมหนึ่งซื่อว่า Crash-Guard (ไม่ใช่ชื่อเพลงของพี่แบงค์นะ ปัดโธ่ เดี๋ยวปัดเหนี่ยวเลย.....)
มันจะทำหน้าที่ในการตู้คืนและป้องกันการ Error ของ Software อื่น ๆ รวมทั้ง Operation System (OS)
โดยมันจะทำให้ Software อื่นที่เปิดใช้งานควบคู่ไปกับ Virtual Dj แล้วเกิดการ Error เงียบ รวมทั้งเสียงของ OS ด้วย
เช่นเสียง คลิกเมาท์ แต่ว่า Version นี้ได้เพิ่มการใช้งานของขา Chat ให้ Mix&Mouth ไปพร้อมกันได้ โดยไม่ทำให้ Virtual Dj สะดุดแต่อย่างใด
(ไม่แน่ใจว่าให้เพื่อนเราฟังเพลงที่เรามิกซ์ ไปพร้อมกับการ Chat ได้หรือไม่แต่เอาเถอะใครที่อยากให้ชาวโลกได้รับรู้
และอยากประกาศตัวเป็นเจ้ายุทธจักรในการมิกซ์เพลงเอาไว้จะบอกวิธีการในโอกาศหน้าก็แล้วกันนะครับ)
Max Load : เป็นการกำหนดระยะเวลาสูงสุดของเพลงที่ให้เครื่องของเราจดจำ เพื่อที่จะทำให้เราเล่นเพลงที่มีขนาดยาวโดยไม่กินแรงหน่วยประมวณผลของคอมพิวเตอร์
Read ID3 Tags : ผมได้เข้าไปในเว็บไชต์ http://www.virtualdj.com/ อยู่หลายที่เหมือนกัน เห็นได้ว่ามีผู้ใช้หลายคนทั่วโลกนิยมใช้ Virtual Dj กันมาก และมีคำถามและข้อแนะนำจากเหล่าผู้ใช้งานทั่วโลกว่า
“ทำไมยูไม่ให้ Virtual Dj อ่าน ID3 Tags ได้ละ ยูรู้ใหมว่าฉันเบื่อและไม่อยากแก้ไขชื่อเพลงที่มีเป็น หมื่น ๆ เพลงของฉันในเครื่องคอมพิวเตอร์
(พ่อเอ้ย....แบ่งผมโหลดของพ่อสักเพลงสองเพลงบ้างเถอะ...) ถ้ายูไม่รีบแก้ไข ไอ คงต้อง Uninstall โปรแกรมของยูแน่”
ทางโปรแกรมเมอร์ของ Virtual Dj ก็ตอบกลับมาว่า ได้คราบ.....จะจาดให้ครับ (กรุณาทำเสียงเหมือนโฆษณาดีเทค)
นั้นเป็นเพราะว่า Virtual Dj มี Format การชื่อเพลงเป็น (ชื่อศิลปิน) ชื่อเพลง.mp3 และ ชื่อศิลปิน – ชื่อเพลง.mp3 ครับบางคนเห็นว่ามันไม่เห็นเป็นไรเลยของฉันก็อ่านได้
ใช่ครับ แต่บางเพลงทีปัญหาคือ ชื่อเพลงขึ้นก่อนศิลปิน หรือ ชื่อเพลง(นักร้องรับเชิญ) หรือ Version ของเพลงเช่น (Remix), (Radio Edit) อะไรแบบเนี้ยครับมันเลยทำให้มีปัญหาเวลาหาชื่อเพลง
ผู้ใช้ส่วนใหญ่หาทางออกด้วยวิธี หาโปรแกรมเปลื่ยนชื่อเพลงมาแก้ไขครับซึ่งเป็นวิธีมี่ดีทีเดียวครับ แต่ Virtual Dj ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจใส่โหมด ID3 Tags ให้ Virtual Dj อ่านได้
แต่แค่ ชื่อเพลงกับComment เท่านั้นนะครับ และVirtual Dj ได้เตื่อนไว้ว่ามันจะทำให้การค้นหาเพลงช้าลง ผมได้ลองOption นี้แล้วมันก็ช้าลงนะครับ(นิดดดด....หน่อย)
แต่มันก็ยังไม่ค่อยWork เท่าไหร่ครับ
Write VDJ Tags : เป็นการเลือกให้ Virtual Dj เขียน VDJ Tags ลงไปบนเพลงของเราหรือไม่ ข้อดีก็คือว่าเราสามารถเอาเพลงของเราไปใช้กับเครื่องอื่นได้โดยที่มันจะจดจำ
Cues, Comment, และข้อมูลอื่น ๆ ให้โดยไม่ต้องทำใหม่
Security : เป็นการป้องกันและให้โปรแกรมถามเราก่อนว่า “คุณแน่ใจแล้วหรือ” ก่อนที่เราจะทำอะไรลงไปอย่างผิด ๆ เช่น เปลื่ยนเพลงขณะที่เพลงกำลังเล่นอยู่
หรือปิดโปรแกรมในขณะที่ปิดเพลงอยู่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดของเราเอง (เปิดไว้ดีกว่านะผมว่า....กันไว้ดีกว่าแก้)
Scrolling : เป็นการเลือกให้หน้าต่างแสดงจังหวะ (Rhythm Window) แสดงคลื่นเสียง (Waveform) ไปทิศทางไหน จากซ้ายไปขวาหรือจากขวาไปซ้าย
Disc : เป็นการเลือกความเร็วในการหมุนของ Turntable เสมือน บนหน้าจอว่าให้มีความเร็วเท่าใด (ความเร็วปกติจะตั่งไว้ที่ 33 1/3)
Pitch Range : เป็นการเลือกขอบเขตการตั่งค่าระดับเสียง Pitch อาจเรียกได้ว่าการตั่งค่าการปรับระดับความเร็วของเพลงให้มีระยะขอบเขตเท่าใด
เพื่อป้องกันเพลงเพี้ยน หรืออื่นๆ โดยมีให้เลือก 3 ระดับคือ -8% ถึง+8%, -12% ถึง+12%, -34% ถึง+34%

FAME Algorithm Option ส่วนนี้จะเป็นการตั้งการทำงานของระบบมิกซ์อัตโนมัติ (Auto Mix) และการใช้งานทั่วไปนะครับ
BPM Engine : ให้เลือกระหว่าง Techno/House ซึ่งวิเคาระห์หา BPM จากจังหวะการเคาะหรือการตีของเพลง ส่วนAny Music วิเคาระห์หา BPM จาก
ทำนองเพลงเหมาะสำหรับเพลงพวก Rock n’ Roll หรือ Salsa โดยการวิเคาระห์แบบ Any Music จะใช้ทรัพยากรของเครื่องมากกว่า
Auto BPM : เลือกเพื่อให้ Virtual Dj ปรับ BPM ให้โดยอัตโนมัติ
Auto Gain : เลือกเพื่อให้โปรแกรมจัดการความดังของเพลงที่ไม่เท่ากัน เมื่อเลือก Always 0dB โปรแกรมจะจัดการปรับให้เสียงอยู่ที่ 0dB, เมื่อเลือก Always Match
โปรแกรมจะทำให้เสียงของทั้งสอง Deck มีความดังเท่ากัน, เมื่อเลือก Disable โปรแกรมจะไม่ทำการได ๆ กับเสียงของเพลงนั้น
Auto Pitch-Reset : เป็นการปรับให้ Pitch เป็น 0% ทุกครั้งเมื่อโหลดแทรกใหม่
Auto EQ-Reset : เป็นการปรับให้ EQ ทั้ง 3 Band ตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่โหลดแทรกใหม่
Auto Cue : กำหนดให้โปรแกรม เริ่มตั้งเพลงที่ Cue แรกทุกครั้งที่โหลดแทรกใหม่ เมื่อไม่ได้กำหนดค่า Cue โปรแกรมจะตั้งเพลงให้ที่ Beat แรกทุกครั้งเมื่อเลือกโหมด Always
Disengage Beat Lock : ปล่อยให้ Beat Lock เป็นอิสระทุกครั้งเมื่อโหลดแทรกใหม่
Force Fade : เป็นเครื่องมือในการต่อเพลงแบบอัตโนมัติ Auto Mix อีกแบบหนึ่งใช้งานร่วมกับ Fade Length (ที่จะกล่าวถึงต่อไป)
ใช้ในการต่อเพลงแบบไม่คำนึกถึงความเร็วเพลงและห้องในการมิกต์ (มิกต์แบบร้านอาหารอะครับ ขอย้ำ ร้านอาหารนะครับไม่ใช่ คลับ) คือลด Volume แล้วเปิดอีกเพลง หรือ shot เพลงนะครับ
(เมื่อเปิดโหมดนี้ การมิกซ์เพลงอัตโนมัติจะไม่สามารถมิกซ์แบบอิง Tempo กับ Crossfader ได้นะครับต้องปิดก่อน)
Fade Length : เลือกเวลา,ความยาวเพลง ที่เราจะมิกซ์ให้มันซ้อนทับกัน
Crossfader : เลือกลักษณะของ Crossfader ที่จะใช้งาน

2.3 Performance
เป็นการตั้งค่าคุณภาพของเสียงนะครับ
2.4 Skin
เอาไว้เลือก Skin ต่าง ๆ มาใช้งานนะครับ สำหรับใครที่ต้องการจะโหลด Skin จากทาง Website จะต้องสมัครสมาชิกและที่สำคัญจะต้องใช้ Virtual Dj ตัวจริงเสียงจริงนะครับ(หรือจะลองเสี่ยงหา Serial Number ไปลองดูก็ได้นะครับแต่ผมไม่กล้า ฮิฮิ) อ้อเขาบอกว่าคุณสามารถทำเองก็ได้ง่ายนิดเดียวโดยดูรายละเอียดที่ Website ครับ (อยากลองเหมือนกันแต่ทำไม่เป็น ใช้ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 ดีกว่าเนอะ)
2.5 Keyboard Shortcut
เป็นการตั้งค่า Shortcut ของคุณเองได้และตั้งแต่ เมื่อใช้งานร่วมกับ MIDI โหมดนี้ละครับ (สำหรับการตั่งค่า Shortcut นี้ผมขอละไว้นะที่นี้นะครับเพราะว่าเคยอ่านเจอในบอร์ดมีคนเคยสอนเอาไว้แล้ว ไปหาอ่านดูละกันนะครับ)
2.6 Network
ตัวเลือกนี้สามารถทำให้คุณ Mix เพลงได้หลาย ๆ Deck โดยการ Synchronization Computer หลาย ๆ เครื่องรวมกัน (Network Synchronization)หรือว่าพี่ ๆ ที่เริ่มแก่ตัว หูตาฝ้าฟาง ต้องการที่จะใช้หลายหน้าจอก็ทำได้ แต่ต้องใช้ Skin แบบ Multi-Instance (โดยเลือก Local Synchronization)โดยการทำแบบนี้ปุ่ม Sync หรือ Beat Lock จะทำงานร่วมกันทั้งหมด
2.7 Remote Control
โหมดนี้จะเป็นการเลือกการใช้งาน โดยการต่อ Console ภายนอก เช่น Hercules Dj Console, ของแพงอย่างNumark iCDX หรือ Turntable ไฮโซ อย่าง XP10 เพียงแต่ว่าเพื่อน ๆ ต้องใช้ Version Pro เท่านั้นนะ Version ธรรมดาจะใช้ง่านได้แต่ Hercules Dj Console เท่านั้นนะจ๊ะ (เห็นว่ามีเพื่อน ๆ บอกว่า Beringer 2000 ใช้งานได้แต่ไม่ครบทุกปุ่ม น่าสนใจเหมือนกันนะครับทั้งหน้าตาและค่าตัว) อ้อเกือบลืมไปแล้ว เพื่อน ๆ อยากจะ Scratch แผ่น (เสมือน) แบบไม่ต้องใช้เมาท์ถูกับพื้น ก็ดูที่หัวข้อ Webcam นะครับโดยการใช้ Webcam จับความเคลื่อนไหวของมือเรา (ผมใช้ Notebook. Webcam อยู่ด้านบนผมเลยใช้หัว Scratch แทน ฮิฮิ)
2.8 Codecs
เป็นข้อมูลบอก Format File ที่ Virtual Djรองรับ แก้ไขและเพิ่มใหม่ได้ครับ
2.9 Global Database (Napster)
เป็นการหาเพลงใหม่จาก Napster
2.10 Video
มิกซ์ Music Video ตั้งแต่ต่าง ๆ เช่นแสดงชื่อเพลง อื่น ๆ
2.11 Info
เป็น Link เข้าไปที่ Website ของ Virtual Dj เพื่อ Download และเช็คโปรแกรม (ขอบอกว่าอย่าเสี่ยง)


ทั้งหมดนี้เป็น Option ของ Virtual Dj อาจจะยาวไปสักนิดแต่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และนำไปใช้ได้จริง ผมขอออกตัวว่าไม่ได้เก่ง และยังต้องการคำแนะนำต่าง ๆ อีกเยอะครับ ถ้ามีข้อมูลใหนตกหล่นไปหรือผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ

เรื่องของ Virtual Dj ยังไม่หมดนะครับยังเหลืออีกหลายเรื่อง เช่น การ Set BPM ที่ไม่ตรง Beat,
การ Recording, การใช้และอัด Simple, การใช้ Effect, และอื่น ๆ ผมจะนำมาแนะนำให้ใหม่โอกาศหน้านะครับ ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อน ฮิฮิ

อ้อ.....ข้อมูลที่เป็นฐานในการเขียนของผมนะครับมาจาก Atomix Virtual Dj, Dj Mix Station,Website http://www.virtualdj.com/, และจากประสบการณ์นะครับ หวังว่าเพื่อน ๆ ที่ใช้ Virtual Dj Version ที่ต่างกันคงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นและเข้าใจได้มากขึ้นนะครับ .
















วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

การใช้งานพรินเตอร์ระดับพื้นฐาน

ที่มา http://www.srisamut.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538733940

การลงไดรเวอร์


ไดรเวอร์ (Driver) เป็นซอฟท์แวร์ตัวหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง Windows กับอุปกรณ์ที่นำมาต่อเพิ่ม เช่น พรินเตอร์ โมเด็ม การ์ดจอ การ์ดเสียง เป็นต้น ดังนั้นเวลาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ อย่าลืมเรียกหาแผ่นไดรเวอร์จากผู้ขาย และต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วย อุปกรณ์บางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องลงไดรเวอร์ เพราะมี ใน Windows อยู่แล้ว เช่น จอภาพ เม้าส์ คีย์บอร์ด แฮนดี้ไดรฟ์ ซีดีรอม ไดรฟ์เอ. เป็นต้น


พรินเตอร์รุ่นเก่าๆ บางตัวมีอยู่ในวินโดวส์อยู่แล้ว แต่พรินเตอร์รุ่นใหม่ๆ มักต้องลงไดรเวอร์ ซึ่งมาในรูปของแผ่นซีดี บางรุ่นรวมมากับคู่มือการใช้งาน แต่บางรุ่นแยกต่างหากอีกแผ่น ดังนั้นถ้าพบว่ามีแผ่นซีดีมากับพรินเตอร์มากกว่า 1 แผ่น ต้องดูให้ดีว่าแผ่นไหนเป็นแผ่นไดรเวอร์ และบางทีก็มีเพิ่มมาอีกแผ่น เป็นไดรเวอร์สำหรับวินโดวส์ วิสต้า


การลงไดรเวอร์พรินเตอร์ มี 2 แบบ


การลงไดรเวอร์แบบที่ 1 เป็นแบบที่ผู้ผลิตแนะนำ คือการเสียบสาย USB (อ่านว่า ยู-เอส-บี) เมื่อซอฟท์แวร์สั่งให้เสียบ (เสียบ USB ทีหลัง) วิธีการคือ นำเครื่องพรินเตอร์ออกมาจากกล่อง แกะสติ๊กเกอร์หรือกระดาษที่ล็อคฝาหรืออุปกรณ์ที่ปิดไว้เพื่อความปลอดภัยในการขนส่งออกเสียให้หมด เสียบสายไฟ เปิดสวิทช์ให้เรียบร้อย (ยังไม่ต้องใส่ตลับหมึกก็ได้) นำแผ่นไดรเวอร์ใส่ในไดรฟ์ รอสักครู่ โปรแกรมจะเปิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ถ้าโปรแกรมไม่เปิดเอง ให้เข้าไปดับเบิ้ลคลิก ที่ไดรฟ์ใน Mycomputer และดำเนินการไปตามคำแนะนำที่หน้าจอ เมื่อถึงขั้นที่หน้าจอบอกให้เสียบสาย USB ก็ให้ทำตาม และคลิกไปเรื่อยๆ จนเสร็จ ถ้าเป็นการลงแบบง่าย (ใน Canon หรือ Epson) จะลงไดรเวอร์ และซอฟท์แวร์ที่จำเป็นให้ทั้งหมด


ดูตัวอย่างการลงในลักษณะนี้ คลิก


การลงไดรเวอร์แบบที่ 2 หรือวิธีเสียบสาย USB ก่อน แล้วให้วินโดวส์ค้นหาเอาเองจากแผ่นไดรเวอร์ วิธีการคล้ายแบบที่ 1 แต่เสียบสาย USB ได้เลย เมื่อเสียบสาย USB แล้ว ที่มุมขวาของจอภาพจะมีบอลลูนแจ้งว่า Found New Hardware และมีหน้าต่างให้คลิก Next ไปเรื่อยๆ ข้อควรระวังก็คือ เมื่อโปรแกรมในแผ่นไดรเวอร์เปิดเองโดยอัตโนมัติ ให้ปิดเสีย วิธีการนี้จะเป็นการลงไดรเวอร์เพียงอย่างเดียว บางรุ่นจะบังคับให้ลงซอฟท์แวร์ที่จำเป็นด้วย แต่บางรุ่นก็ไม่บังคับ (ยกเลิกการลง ก็ใช้งานได้) หากต้องการลงซอฟท์แวร์(ที่มากับแผ่นไดรเวอร์)เพิ่มเติม ให้ลงในภายหลังได้ การลงแบบนี้มักใช้กับ HP หรือ Lexmark คลิก เพื่อดูตัวอย่าง


หลังจากที่ลงไดรเวอร์เสร็จแล้ว เข้าไปที่หน้าต่างพรินเตอร์ (Start / Setting / Printers & Faxes) จะพบไอค่อนของพรินเตอร์ตัวที่ลงไดรเวอร์ เช่น Epson Stylus C58 Series 0 Ready


0 แปลว่าไม่มีงานค้างใดๆ ส่วน Ready แปลว่าพร้อมใช้งาน ถ้าพบว่าไอค่อนของพรินเตอร์เป็นเช่นนี้ ก็ใช้งานได้เลย


ดูภาพประกอบ



ถ้าคอมพิวเตอร์ต่อพรินเตอร์ไว้หลายเครื่อง ถ้าเป็นรุ่นเดียวกัน ไอค่อนของตัวที่ลงทีหลัง จะมีคำว่า Copy 1 หรือ 2 หรือ3... ต่อท้ายตามลำดับ เครื่องที่เป็น Default หรือเครื่องมีเครื่องหมายถูก อยู่ด้วย (ตามภาพคือ Brother DCP-150C) จะเป็นตัวที่สั่งพิมพ์ด้วยเครื่องหมายพรินเตอร์ บน Toolbar ได้เลย หากต้องการให้เครื่องใด เป็นตัว Default ให้ทำดังนี้


คลิกขวาที่ไอค่อนของตัวนั้น ในตัวอย่างคือ Brother เลือก Set as Default Printer เครื่องหมายถูก จะย้ายมาอยู่ที่ Brother



แต่หากเราต้องการให้ C58 พิมพ์เฉพาะไฟล์ที่กำลังใช้งานอยู่ ให้สั่งพิมพ์โดยใช้ Menubar (ตัวอย่างการใช้งานใน Word) เลือกไฟล์ / พิมพ์ แล้วเลือกพรินเตอร์ ดังภาพ



ปัญหาที่พบบ่อยคือ สั่งพิมพ์แต่เครื่องไม่ยอมพิมพ์ ทั้งที่มั่นใจว่าพรินเตอร์ไม่เสีย มาจากสาเหตุดังนี้


1. สั่งพิมพ์ผิดเครื่อง แก้ไขโดยตั้งค่า Default ให้ถูกเครื่อง ถ้าเป็นไปได้ให้ลบเครื่องที่ไม่ได้ใช้ออกไปเสีย โดย คลิกขวา Delete ถ้าเป็นเครื่องคนละยี่ห้อกับตัว Default ให้ถอดถอนไดรเวอร์ไปเลยก็ได้


2. กรณีที่มีพรินเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือได้ตั้งค่า Default ไว้ถูกต้องแล้ว แต่สั่งพิมพ์แล้วไม่ยอมพิมพ์ ให้ดูที่ไอค่อนในหน้าต่างพรินเตอร์ จะพบว่ามีงานค้างอยู่ หรือตรงที่เป็นเลข 0 ไม่เป็นเลข 0 (หากมีงานค้างอยู่ 1 งาน จะเป็นเลข 1 เป็นต้น) ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ไอค่อนพรินเตอร์ เข้าไปดูงานค้าง



แล้วลบงานค้างออกให้หมด ด้วยการคลิกขวาที่ตัวงาน คลิก Cancel และยืนยัน



ลบออกให้หมดจนว่าง ก็จะสามารถสั่งพิมพ์ต่อไปได้ หากมีปัญหาลบไม่ออก ให้ลองถอดสาย USB ออก แล้วรอสักครู่ ถ้ายังไม่ออกอีก ให้ Restart คอมพิวเตอร์ เมื่อคอมพิวเตอร์พร้อมแล้ว พรินเตอร์อาจจะพิมพ์งานที่ค้างออกมาเอง จนงานที่ค้างอยู่หมดไป ก็จะสามารถใช้งานต่อไปได้


วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

มาทำแผ่น miniPE ใช้เอง ด้วยโปรแกรม Reatogo (ขั้นพื้นฐาน)

ที่มา : http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=145

หลังจากทำแผ่น miniPE แจกจ่ายให้ท่านๆ ทั้งหลายได้ใช้กันมาคราวนี้จะมาบอกกล่าวรายละเอียดว่าที่ไปที่มามันทำอย่างไรบ้างถึงมาเป็นแผ่น augeminiPE Thai Support และ augiePE 2k6.05.08 เอาอ่านแบบขั้นพื้นฐานของโปรแกรมที่โปรแกรมตัวนี้จัดการให้จนถึงขั้นปรับแต่งตามใจคุณ เป็นตอนๆ เลยครับ

สิ่งที่จำเป็น

-โปรแกรม ReatogoPE ดาวน์โหลดได้ตามนี้ http://www.box.net/public/6t0qqctkc4 (9.50MB)

-แผ่น setup วินโดวส์ให้ใช้แผ่นที่เป็น ServicePack2 แล้ว ก็คือแผ่นวินโดวส์ที่ทำการรวม SP2 เข้ากับวินโดวส์แล้วที่มีขายตามพันทิปแหล่ะครับ

-โปรแกรม VMware Workstation สำหรับใช้ทดสอบ miniPE ก่อนทำการเขียนลงแผ่นซีดีจริง(แนะนำให้มีนะครับตัวนี้เพื่อความสะดวก) ดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://www.vmware.com/download/ws/eval.html

-โปรแกรม UltraISO อันนี้เอาไว้เขียนและแก้ไขไฟล์ ISO ดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://www.ezbsystems.com/ultraiso/download.htm

การทำแบบพื้นฐานของโปรแกรม

โปรแกรมที่ใช้ทำแผ่น miniPE ,WinPE นั้นมีหลายโปรแกรมที่ใช้ทำ ในชุดของผมจะใช้โปรแกรม ReatogoPE ซึ่งมีคุณมสบัติที่สามารถดึงการแสดงผลและพิมพ์ภาษาไทยได้โดยไม่ต้องเขียน Script เพิ่มเติมเหมือนโปรแกรมอื่นๆ เจ้า ReatogoPE คุณสามรถเข้าไปดาวน์โหลดได้ฟรีครับที่เว็บนี้ http://www.reatogo.de/ ซึ่งปัจจุบันเป็นเวอร์ชั่น 235 แต่มันยังเป็นภาษาเยอรมัน คุณๆอาจจะงงๆเมื่อใช้โปรแกรม ผมหาทางให้ครับโดยการทำชุดของผมที่ใช้ให้เป็นภาษาอังกฤษและไปฝากตามลิงค์้เพื่อให้ดาวน์โหลดไปใช้เพราะผมก็จะใช้ตัวนี้เป็นตัวอย่างในบทความนี้ ที่แนะนำให้ใช้ตัวนี้เพราะี้ผมทำให้เป็นตัวเต็มเปิด อ๊อฟชั่นของโปรแกรมทุกตัวแล้ว

ลงมือทำ

1.มารู้จักกับ ReatogoPE ก่อนอื่นต้องดาวน์โหลดโปรแกรม ReatogoPE มาก่อน มาทำความรู้จักกับโปรแกรมก่อนครับ ตัวที่ผมทำลิ้งค์ให้เป็นตัวเต็มที่เรียกว่าตัว Premiumไม่ใช่ชุดดาวน์โหลดจากทางเว็บ ผมทำการ Register ให้เรียบร้อย เมื่อได้มาแล้วให้เอาไปไว้ที่ C: ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ หน้าตาจะเป็นตามรูปทำตามขั้นตอนของโปรแกรม



เมื่อโปรแกรมทำการติดตั้งเสร็จ ผมได้ทำการตั้งให้โปรแกรมทำงานเลย โปรแกรมจะทำการ setup ค่า Config โดยอ่านจากเครื่องของคุณมามีหน้า้ตาตามนี้

ระหว่าง setup จะถามว่าต้องการใส่ password หรือไม่ ตอบ cancel ครับ เมื่อ setup เรียบร้อยก็จะมีหน้าตาตามนี้

มาทำความเข้าใจกับโปรแกรมซักเล็กน้อย ถ้าคุณใช้ชุดที่ยังไม่ register อ๊อฟชั่นตามในรูปที่ทำเครื่องหมาย 1-5 จะไม่สามารถปรับแต่งได้หมด แต่ไฟล์ของผมจัดการให้ปรับแต่งได้ทั้งหมด

หมายเลข 1 จะเป็นการปรับการแสดงของ Explorer ให้เป็นแบบไหน แต่งได้ที่นี้

หมายเลข 2 จะเป็นการปรับการแสดงของ Explorer Folder Style จะเอาแบบ XP style หรือจะแบบ Classic

หมายเลข 3 เอาไว้ปรับหน้าจอว่าจะเอาแบบ 800*600,1024*768,1280*960 และ 1280*1024 จากการที่ทำมาหลายชุด และเพื่อนๆที่ใช้แจ้งมา ผมคิดว่าควรปรับไว้ที่ 800*600 จะเหมาะที่สุด เผื่อจะได้ใช้กับเครื่องที่มีสเปคจอต๋ำ่ๆ หรือรุ่นเก่าได้ เพราะถ้าตั้งที่ 1024*768 บ้างที่นำไปใช้กับเครื่องเก่าๆ มันจะไม่รับ ทำให้จอมืด อ่านไม่รู้เรื่อง สำหรับผู้ที่ใช้กับเครื่องที่มีสเปคสูงหรือเครื่องรุ่นใหม่ เมื่อบูตเข้าหน้าจอแล้ว ค่อยปรับมาเป็น 1024*768 ทีหลังก็ได้

หมายเลข 4 เอาไว้เลือกหน้าWallpaper ว่าจะเอาแบบไหน ตัวโปรแกรมให้มา 5 แบบ ซึ่งสามารถเปลื่ยนได้ตามแบบของคุณเองไ้ค้ครับ

หมายเลข 5 สำหรับปรับแต่งอ๊อฟชั่นต่างๆได้อีก

หมายเลข 6 ปุ่มกดเพื่อจะ Configure โดยโปรแกรมจะดึง configของเครื่องนั้นๆ ที่โปรแกรมติดตั้งมาเป็นconfig ของชุด miniPE ที่จะทำ ในที่นี่ผมตั้งให้มันทำงานครั้งแรกตอนติดตั้งแล้ว

หมายเลข 7 ปุ่มที่จะทำการดึง Driver ต่างๆในเครื่องมาใช้งานในแผ่น miniPE

หมายเลข 8 ปุ่มที่จะทำให้โปรแกรมรุ่นธรรมดาให้เป็น Premium คือเมื่อกดปุ่มนี้โปรแกรมจะถาม Register อันนี้ผมจัดการให้แล้ว

หมายเลข 9 โปรแกรมต่างๆรวมทั้ง Driver ที่จะทำการใส่เข้าไปในชุด miniPE จะเรียกกันว่า Plugin ซึ่งจะเอามาจากโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องหรือจากภายนอกซึ่งอันนี้จะอธิบายในขั้นตอนที่สูงขึ้น สำหรับตอนนี้เอาแ่ค่โปรแกรมที่มีอยู่ในเครื่องก่อน

2.เตรียมการสำหรับ Driver กับ Plugin

หลังจากทำความรู้จักหน้าตาขง Reatogo แล้ว มาถึงขั้นตอนที่จะดึง Driver และโปรแกรมที่จะมาใช้ในชุด miniPE Driver


-ครั้งแรกจะมีการถาม License Agreement ให้ตอบ I agree


-จะมีหน้าต่างขึ้นมาตามรูป ซึ่งจะมีหัวข้อ Driver ทั้งหมด 5 หัวข้อให้คลิกเครื่องหมายทุกข้อ แล้วคลิกที่ Detect


-โปรแกรมจะทำการหา Driver ที่อยู่ในเครื่องของคุณสักครู่ เมื่อโปรแกรมหาเรียบร้อยจะแสดง Driver ทั้งหมดออกมาให้คลิกเลือกทุกตัว แล้วคลิกที่ Create เพื่อให้โปรแกรมทำการสร้าง Driver สำหรับชุด miniPE


-เมื่อกลับมาดูที่โฟลเดอร์ reatogo_autoDriverจะเห็นว่ามีไดเร็คทอรีของ Driver เกิดขึ้น Plugin ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า Plugin ก็คือโปรแกรมต่างๆ ในเครื่อง ที่นำมาใส่ในชุด miniPE ถ้าทำใช้เฉพาะส่วนตัวก็เอาเฉพาะโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้ก็พอ เพราะเอามามากมันก็จะทำให้เครื่องโหลดช้าครับ (ในที่นี่จะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง 1 ตัว)...การสร้างจะมี 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1.ต้องสร้างตัวช่วยสร้าง Plugin ที่เรียกว่า autoHelp-Creator ก่อน Plugin ส่วนใหญ่จะใช้ตัวเป็นตัวสร้าง 2.ตัวสร้าง Plugin จะเป็น Batch File หรือ Script Fileที่มีจะรูปในรูปแบบนี้ autoHelp_***.cmd ซี่งได้จากข้อ 1



-ให้คลิกที่่ปุ่ม Plugin จะมีโฟลเดอร์ Plugin เปิดออกมา ให้ดับเบิลคลิกที่ autoHelp-Creator
-จะมีหน้าต้าง autoHelp Creator ให้คลิก Plugin Creator
-จะมีหน้าต่างขึ้นมา มีคำสั่งให้เลือก 2 ตัว ในที่นี่ให้เลือกพิมพ์ 1 แล้ว Enter -มีหน้าต่างให้เลือกว่าโปรแกรมหรือ Plugin ที่จะทำนั้นอยู่ในหมวดหมู่หรือ Category อะไร เพื่อจัดเป็นหมวดหมู่

-ต่อมามีหน้าต่างขึ้นมาใหม่ตามรูปให้กรอกชื่อโปรแกรมที่จะใส่ในชุด miniPE โดยกรอกชื่อโปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น *.EXE ที่ข้อความ Name of MainEXE (ไม่ต้องใส่โฟลเดอร์ เอาเฉพาะชื่อโปรแกรม) แล้ว Enter
-ใส่ชื่อของผู้สร้าง Plugin


-เมื่อสร้างตัว autoHelp แล้วมาดูที่โฟลเดอร์ Plugin จะมีโฟลเดอร์ย่อยของ Plugin แต่ละตัวเกิดขึ้น



-ให้เข้ามาที่โฟลเดอร์ย่อยของตัวที่ต้องการ จะเห็นตัวสร้าง Plugin...autoHelp_***.cmd ให้ดับเบิลคลิกที่ไฟล์นี้ script จะทำการก็อปปี้โปรแกรมจากเครื่องที่คุณได้เลือกไว้มาไว้ที่ โฟลเดอร์ของ Plugin ตัวนั้น ๆ
-โปรแกรมจะมีรายละเอียดของ Plugin และถามว่าจะทำงานต่อหรือไม่ให้ตอบ OK

-และจะถามว่าจะใช้การ compress files เพื่อการประหยัดพื้นที่ CD ให้ตอบ Yes
-ถ้าตัว .autoHelp_***.cmd ถูกต้องมันจะทำการก็อปปี้จากเครื่องมาที่โฟลเดอร์ของ Plugin เมื่อโปรแกรมทำการเสร็จที่โฟลเดอร์ของ Plugin จะมีหน้าตาตามรูป ไฟล์ที่จำเป็นที่ใช้ใส่ลงในชุด miniPE ของโปรแกรมแต่ละตัวจะอยู่ในโฟลเดอร์ย่อย Files
เสร็จแล้วครับสำหรับการทำ Plugin หรือการเตรียมโปรแกรมที่จะใส่ลงใน miniPE ให้คุณทำแบบที่กล่าวมาทุกโปรแกรมที่คุณต้องการ เมื่อเตรียมโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนไปก็ลงมือทำ miniPE ครับ

3.ลงมือทำแผ่น miniPE

สิ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนนี้ ตามที่บอกว่าข้างตอนแล้ว ได้แก่ แผ่น setup วินโดวส์และต้องเป็นชุดที่มี Service Pack2 รวมอยู่แล้ว เมื่อได้อุปกรณ์สำคัญมาแล้วก็มาเริ่มขั้นตอนทำ
-เริ่มที่นำแผ่น setup วินโดวส์มาใส่ที่ซีดีของเครื่องก่อน

วิธีที่จะนำแผ่น setup วินโดวส์มาใช้มี 2 ทางเลือก แล้วแต่ความชอบได้แก่

1.เอาแผ่น setup วินโดวส์ใส่ไว้ที่ซีดีของเครื่องในขณะทำงาน

2.หรือจะก็อปปี็ไฟล์ทั้งโฟลเดอร์ I386 ของแผ่น setup มาไว้ที่เครื่องเลยก็ได้ ในที่นี่จะใช้วิธีก็อปปี้โฟลเดอร์ I386 มาเก็บที่เครื่องเพราะเห็นว่าโปรแกรมอ่านไฟล์ที่ฮาร์ดดิสก์จะเร็วกว่าซีดี
-เมื่อทำข้างบนแล้วให้เรียกโปรแกรม Reatogo ขึ้นมาการปรับแต่งก็ตามหมวดหมู่ที่ทำเครื่องหมายไว้ให้แล้ว (หมายเลข 1-5) แต่ละส่วนก็ปรับแต่งตามใจชอบ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้น (หัวข้อ" มารู้จักกับ ReatogoPE" )
-ให้คลิกที่ปุ่ม Start PEbuilder ครั้งแรกของโปรแกรมจะถามเรื่อง License ตอบ I agree
-ทำการปรับแต่งในการทำชุด miniPE ที่หน้าต่าง Reatogo PE Builder V3.1.10a

1 ตรง หัวข้อ Build (Source)ให้ไปหาที่อยู่ของแผ่น setup วินโดวส์ หรือโฟลเดอร์ I386 ในกรณีใช้วิธีก็อปปี้ลงเครื่อง

2.ตำแหน่งที่เก็บไฟล์ที่สร้าง miniPE ที่ยังไม่ได้เขียนเป็นไฟล์ ISOทั้งหมด (โปรแกรมจะทำการสร้างไฟล์แบบทั่วไป และ ISO ด้วยเพื่อความสะดวกของผู้จะนำไปใช้)

3.ให้คลิกทำเครื่องหมาย Create ISO image และระบุตำแหน่งที่เก็บไฟล์ เมื่อทำการปรับแต่งข้างต้นแล้ว ก็มาตรวจความเรียบร้อยของ Plugin ก่อนว่า Enable หรือยังให้คุณคลิกที่ Plugin
- มาที่หน้าต่าง Reatogo PE Builder V3.1.10a -Plugin จะมีรายละเอียดต่างๆของ Plugin มี 3 หัวข้อ ได้แก่ (ในที่นี่จะกล่าวแค่นี่ก่อน ส่วนการทำงานของปุ่มอื่นๆ จะของกล่าวในบทความตอนต่อไป)

Enabled- จะเป็นการบอกว่า Plugin แต่ละตัวเปิดใช้งานหรือไม่ จะสั่งปิดเปิดได้โดยคลิกที่ปุ่ม

Enable/Disable

Name - ซื่อของโปรแกรมหรือ Plugin

File -ตำแหน่งที่อยู่ของไฟล์ install ของ Plugin

เมื่อตรวจสอบ Plugin หรือเปิดปิด Plugin ตามที่ต้องการแล้วก็คลิกที Close จะกลับมาที่หน้าต่าง Reatogo PE Builder V3.1.10a คลิกที่ปุ่ม Build

-ถึงตรงนี้ก็ั้นั่งรอครับ โปรแกรมจะทำการดึงข้อมูลต่างที่ปรับแต่งไว้จัดทำแผ่น miniPE ใช้เวลามากน้อยก็อยู่ที่โปรแกรมหรือ Plugin ที่ใส่เข้าไป
-เมื่อถึงตรงนี้ก็แสดงว่าโปรแกรมทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็ปิดโปรแกรมแล้วออกมาตรวจสอบว่ามีชุด miniPE เรียบร้อยหรือไม่
-เมื่อมาดูที่ C:Reatogo235 จะมีโฟลเดอร์ย่อย Reatogo ซึ่งจะเป็นที่เก็บไฟล์ของชุด miniPE ที่สร้างขึ้นโดยเก็บในรูปแบบของไฟล์ธรรมดาไม่ได้เป็น ไฟล์ ISO Image และไฟล์ที่ชื่อ reatogoBuilder.iso ซึ่งเป็น image ไฟล์ เอาไปเขียนลงแผ่นซีดี ทำเป็น miniPE ****จากประสพการณ์การทำ miniPE ขอแนะให้ทำการทดสอบ iso ที่ได้มาทุกครั้งก่อนการเขียนลงแผ่น เพราะถ้าผิดผลาดนั้นหมายถึงการเสียแผ่นซีดีไป 1 แผ่น สำหรับการจะทดสอบว่า miniPE ในที่นี่ขอใช้โปรแกรม VMware Workstation ก็ดาวน์โหลดได้ตามที่กล่าวไว้ในส่วนของ "สิ่งที่จำเป็น" การทดสอบแผ่น miniPE โดย VMware Workstation ถ้าถามว่าเจ้า VMware Workstation มันเป็นโปรแกรมอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง โปรแกรมตัวนี้เป็นโปรแกรมที่จำลองเครื่องคอม ฯ และ Operation System (OS) ก็ได้แก่ระบบปฏิบัติการที่เราๆท่านๆ ใช้อยู่ประจำเครื่อง เช่น Windows รุ่นต่างๆ , Linux จากค่ายต่างๆ หรือ FreeBSDเจ้าตัวนี้มันจำลองได้หมด และเหมื่อนจริงด้วย
-ให้ทำการติดตั้งโปรแกรมให้เรียบร้อย เมื่อเปิดโปรแกรมออกหน้าตาก็ตามรูป
-เริ่มสร้างระบบจำลอง ให้ไปที่ File > New >Virtual Machine.. -คลิกที่ Next

-ติ๊กเลือก Typical คลิก Next


-หน้าต่างนี้ให้คุณเลือกระบบที่จะจำลอง ในที่นี่เลือก ติ๊ก Microsoft Windows และเลือก Windows XP Professional แล้วคลิก Next

-ระบุชื่อของระบบที่จะจำลอง และที่เก็บปลายทางแล้ว คลิก Next
-ติ๊กเลือก Use bridged networking เพื่อให้ระบบจำลองมีการใช้ network ได้ -มาถึงตรงนี้ก็คลิก Finish โปรแกรมจะทำการสร้างระบบจำลองให้

-เมื่อถึงขั้นตอนนี้โปรแกรมก็พร้อมให้สร้าง Windows จำลองได้ โดยวิธีติดตั้งก็เมื่อการติดตั้งวินโดวส์ธรรมดาทุกประการ แต่ในที่นี้ไม่ต้องติดตั้งก็ได้ เพราะจุดประสงค์ของบทความนี้ เพื่อต้องการสร้างสภาพแวดล้อมของวินโดวส์ตัวหนึ่งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เหมื่อนกับว่าคุณมีเครื่องคอมฯ เครื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ติดตั้งระบบวินโดวส์ครับ....มาทำการทดสอบ ISO ของ miniPE ที่สร้างเสร็จแล้ว โดยให้ดับเบิลคลิกที่ CD-ROM(IDE 1:0) ที่โปรแกรม เพื่อเปลื่ยนซีดีของระบบจำลองมาเป็นแผ่น miniPE
-เมื่อมาหน้าต่างนี้ให้ติ๊กเลือก Use ISO Image แล้ว คลิก Browse.. เพื่อเลือก ISO ที่สร้างไว้ข้างต้นคลิก OK

-จะเห็นว่า ISO แผ่น miniPE ที่สร้างไว้แล้ว อยู่ใน CD ของระบบจำลองแล้ว เริ่มทดสอบโดยคลิกที่เครื่องหมาย ตามรูป -คลิก OK และ OK


-ตามที่ได้กล่าวแล้วว่าระบบจำลองจะเหมื่อนจริง ฉะนั้นเมื่อจะบูตระบบจำลองที่มี ISO ของ miniPE อยู่ที่ซีดี ก็ต้องตั้งให้ระบบบูตด้วยซีดีเป็นไดรฟ์แรกก่อน ระหว่างที่ระบบจำลองกำลังบูต ให้กด F2 เพื่อเข้า BIOS ของระบบจำลอง
-เมื่อเข้า BIOS ของระบบจำลองแล้ว ก็ตั้งให้อ่านที่ ซีดีไดรฟ์ เป็นไดรฟ์แรก วิธีก็เหมื่อนกับ BIOS ของเครื่องคอมฯ ปกติ
-ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ISO ของ miniPE ก็จะบูตออกมาตามตัวอย่าง และให้ทดลองใช้โปรแกรมใน miniPE ตามที่ได้ทำไว้ เมื่อทดสอบแล้วไม่มีข้อผิดพลาดก็ค่อยนำ ISO ไปเขียนลงแผ่นซีดีได้ การผิดพลาดของการทำแผ่น miniPE จากการที่ทำชุด miniPE แจกมาตั้งแต่ augieminiPE ฉบับภาษาอังกฤษ และ augieminiPE รุ่น Thai Support จนมาถึง augiePE 2k6.05.08 ขอบอกได้เลยไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำแบบง่ายๆ เลยแต่ละชุดประสพปัญหาตลอด ใน augieminiPE ฉบับอังกฤษ ก็มีปัญหาเล็กน้อย มาหนักที่สุดก็ชุด augieminiPE Thai Support ผมต้องทำและแก้จุดต่างๆหลายครั้งมาก ต้องทำ ISO Image มาทดสอบมากกว่าร้อยชุด ( เป็นเรื่องจริงครับไม่ได้โม้) กว่าจะมาเป็นชุด miniPE มาให้โหลดกันแต่ก็ไม่พอใจเท่าไรเพราะว่ามาพบข้อบกพร่องหลายข้อ มาถึงชุดปัจุบันได้แก่ augiePE 2k6.05.08 ก็คิดว่าดีกว่าชุดที่แล้ว ที่ทำ miniPE มาทั้งหมดจะประสพปัญหาหลักๆ อยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1.ปัญหาที่เกิดจาก Driver ไม่สมบูรณ์ 2.ปัญหาที่เกิดจากการดึงข้อมูลของ Reatogo ที่ดึงมาจากเครื่องไม่สมบูรณ์ทำให้โปรแกรมในชุด miniPE ไม่ทำงาน เมื่อมีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไข ในข้อ 2 ปัญหานี้แก้ได้โดยไปหาโปรแกรมมาจาก Internet หรือทำขึ้นมาเองโดยเขียน Script ซึ่งจะยังไม่กล่าวในบทความนี้เพราะขั้นตอนมีมาก จะเขียนวิธีการในบทความตอนต่อจากนี้ แต่ปัญหาข้อที่ 1 ที่เกิดจาก Driver จะแก้ไขไม่ยาก
-นี่คือตัวอย่างปัญหาด้านไดร์เวอร์ไม่สมบูรณ์ จะเป็นอยู่ไดร์เวอร์ 2 พวกใหญ่ๆ คือ ไดร์เวอร์ของ Harddisk (SATA,RAID,SCSI) กับ Network เมื่อทดลองแผ่น miniPE จะบูตไม่ผ่านเพราะในแผ่น miniPE ไม่มีไดร์เวอร์ตัวนี้ ถ้าคุณๆ ที่ทำแผ่น miniPE แล้วเจอปัญหานี้ ผมมีทางให้ 2 ทาง
ทางที่ 1 ่ให้ไปดาวน์โหลดชุดรวมไดร์เวอร์ของผมที่ได้รวบรวมไว้คิดว่ามีมากพอ
- Harddisk (SATA,RAID,SCSI) (Zip File -6.75 MB) http://www.box.net/public/5lpgasb5ty
เมื่อดาวน์โหลดได้แล้ว ให้ขยายไฟล์ออกมา จะพบโฟลเดอร์ของไดร์เวอร์มากมายหลายแบนด์ด้วยกันให้ก็อปปี้โฟลเดอร์ทั้งหมดไปไว้ที่ C:Reatogo235Drivers เสร็จแล้วก็ทำการสร้าง miniPE ตามขั้นตอนปกติที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ไดร์เวอร์ที่ก็อปปี้ก่อนหน้านี้จะไปอยู่ในชุด miniPE ทั้งหมด
ทางที่ 2 เมื่อใช้ทางที่ 1 แล้วยังมีอาการ error หาไดร์เวอร์ไม่เจออีก คือในชุดไดร์เวอร์ที่ดาวน์โหลดมามีไดร์เวอร์ไม่ครบ ก็ต้องจดชื่อไดร์เวอร์แล้วไปหาที่ google ครับเชื่อได้ว่าเจอแน่นอน เมื่อได้มาแล้วก็เอาใส่ในชุด miniPE แต่จะเอาไปไว้แบบวิธีแรกไม่ได้ต้องเอาไปใส่ใน ISO ที่สร้างเสร็จแล้ว ตัวช่วยของปัญหานี้ก็ คือ UltraISO
1.ดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งให้เรียบร้อย เมื่อเปิฺดโปรแกรมออกมาให้ไปที่ File > Open หา ISO Image ของชุด miniPE ที่มีปัญหา เมือมาแล้วให้ไปที่ /I386/SYSTEM32/ DRIVERS
2.ที่หน้าต่างด้านล่างของโปรแกรมให้ไปหาไดร์เวอร์ที่ต้องการใส่ แล้วคลิกขวาที่ไฟล์นั้น เลือกคำสั่ง Add
3.คลิกที่ปุ่มหมายเลข 3 เพื่อทำการรวมไฟล์ไดร์เวอร์ ตามที่ใส่เข้าในข้อ 2 ปล่อยให้โปรแกรทำงานสักครู่ เสร็จแล้วก็สามารถนำ ISO ไฟล์ไปทดลองทำงานดูที่โปรแกรม VMwareได้เลย
สรุปท้ายบทความ
การทำชุด miniPE นั้นไม่ใช่ของยาก และก็ไม่ง่ายครับ ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมาก สำหรับบทความนี้ เป็นเพียงการทำขั้นต้นเท่านั้น เป็นการปูพื้น ทำความเข้าใจกับการทำเบื้องต้นก่อน ผมคิดว่าผู้ที่คิดทำครั้งแรกจะต้องเจอปัญหาแน่นอน ที่แน่ๆก็ปัญหาที่ตัว Reatogo ดึงข้อมูลมาไม่ได้สมบูรณ์ จากประสพการณ์เป็นเพราะตัววินโดวส์แต่ละเครื่องมันไม่เหมื่อนกัน อย่างที่ผมเจอ เคยทำบนโน๊ตบู๊คโปรแกรมจะ error ชุด miniPE จะถามหาไดร์เวอร์บางตัว แต่ลองเอาไปทำที่เครื่อง PC ที่โรงงานกับทำผ่านตลอดไม่ต้องใช้ไดร์เวอร์เพิ่มเติม ก็เลยขอบอกไว้ก่อนต้องใจเย็นๆ ครับ อ่านบทความให้เข้าใจก่อนลงมือทำ
บทความต่อไปจากนี้จะเขียนลงรายละเอียดการทำ miniPE ที่ลงลึก เช่น การหาโปรแกรมที่ไม่มีในเครื่องมาใส่ใน miniPE, แหล่งหาโปรแกรมและไดร์เวอร์, การปรับแต่งในรูปแบบของตัวเอง เช่น การใส่ Wallpaper, การทำ OEM Register (Properties ของ My Computer), การทำ Boot Screen ให้เป็นรูปภาพตามที่เราต้องการ (อย่างในชุด augiePE 2k6.05.08รูปของ Angelina Jolie) รอพบกันใหม่ในบทความตอนต่อไปนะครับ...สวัสดี