วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

DVI port คืออะไร




DVI port ย่อมาจาก "Digital Visual interface " ซึ่งจะมีกับโปรเจคเตอร์ epson บางรุ่น หรือ มีใน port การ์ดจอบาง รุ่น ซึ่ง DVI port จะมีอยู่ 6 แบบ นะครับ ดังรูป


มันดีกว่า D-sub15 เข็ม ยังไง??

เพราะการ์ดจอเดิมที มันต้องแปลงดิจิตอลไปเป็นอนาล็อคก่อน (D-sub) เลยทำให้ภาพอาจจะมีการบิดเบือนเล็กน้อยดังนั้น DVI จึงคมชัดกว่า เพราะไม่ผ่านการแปลงเป็นอนาล็อค คือ การ์ดจอส่งอนาล็อคมา ภาพก็แสดงผลอนาล็อคได้ทันที ภาพจึงมีความคมชัดกว่า

ส่วน Dual DVI ก็คือมี Port DVI 2 ช่อง ต่อได้ 2 จอ

แต่ Port DVI ในสมัยนี้ก็ยังมีสัญญาณ Analog ปนมาด้วยเล็กน้อยครับมันจึงยังมีปัญหาอยู่กับจอ LCD พวกที่เป็น Port DVI มาให้กับจอ

จอ LCD DVI แนะนำ samsung 2232gw www.hardforum.com/showthread.php?t=1190899
หรือ Hp w2207h www.rc-plus.net/board/index.php?topic=1065.0

หม่องมา

http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=101
http://forums.overclockzone.com/forums/showthread.php?t=212322

โครงสร้างของ USB 2.0


การที่ USB มีการสนับสนุนการส่งถ่ายข้อมูลหลายรูปแบบดังกล่าวจึงทำให้ USB สามารถรองรับอุปกรณ์ I/O ได้หลากหลาย เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ISDN นอกจากนี้ USB ยังยอมให้มีการเชื่อมต่อแบบ Hot Plug ซึ่งในที่นี้หมายถึงเราสามารถติดต ั้งอุปกรณ์ I/O ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

4955

ความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลของ USB

USB มีรูปแบบความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลได้ 2 แบบดังนี้

(1) ความเร็ว 12 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วสูง เช่น Zip Drive,Scanner และ Printer

(2) ความเร็ว 1.5 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอยสติ๊ก



ส่วนประกอบของ USB

ส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของ USB ทั้งทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประกอบด้วย

USB ฮาร์ดแวร์

USB Controller /Root Hub

USB Hubs

อุปกรณ์ USB

USB Software

USB Device Drivers

USB Driver

Host Controller Driver



Controller /Root Hub



การสื่อสารข้อมูลทั้งหมดบนระบบ USB เริ่มมาจาก Host ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่ง Host นี้ประกอบไปด้วย USB Host Controller ซึ่งเป็นระบบควบคุมที่ทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลบน USB Bus นอกจากนี้ก็มี Root Hub ซึ ่งเป็น Port ซึ่งใช้เป็นที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB บนเมนบอร์ด ซึ่งจะมีชิปที่ทำหน้าที่เป็น USB Host Controller ดังนี้

Open Host Controller (OHC) ได้แก่ เบอร์ 8x931

Universal Host Controller (UHC) ได้แก่ เบอร์ 80x930



Host Controller



Host Controller มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลการขนถ่ายข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ของ Host Controller Driver หรือ HCD ซอฟต์แวร์จะจัดสร้างรายการที่ใช้เชื่อมโยงกับชุดของข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ในหน่วยความจำที่ได้กำหนดเรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายเทกั นเกิดขึ้นเมื่อใด โครงสร้างของข้อมูลนี้เราเรียกว่า Transfer Descriptor ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับ Host Controller ในอันที่จะทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลขั้น ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวประกอบไปด้วย

ตำแหน่ง Address หรือที่อยู่ของอุปกรณ์ USB

ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลว่าเป็นแบบใด

ทิศทางการไหลของข้อมูลข่าวสารว่าจะไหลจากไหนไปไหน

ตำแหน่ง Address ของ Memory Buffer สำหรับ Device Driver

เมื่อ Host Controller จะส่งข้อมูลไปที่อุปกรณ์ USB ปลายทาง ก็ทำได้โดยการอ่านข้อมูลจาก Memory Buffer ซึ่ง USB Device Driver เป็นผู้จัดสรรให้ ที่ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดส่งไปที่อุปกรณ์ปลายทาง โดย Host Controller จะทำหน้าที่เป็นผู้แปลงข้อมูลจากขนานไปเป็นแบบอ นุกรม จากนั้นก็จัดให้มีการถ่ายเทข้อมูลโดยส่งออกไปที่ Root Hub เพื่อส่งต่อไปที่บัส

ในกรณีที่ต้องการจะอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ USB ตัว Host Controller จะสร้างสภาวะการติดต่อเพื่ออ่านข้อมูลขึ้น จากนั้นก็จะส่งคำขอการอ่านข้อมูลไปที่ Root Hub ซึ่ง Root Hub ก็จะส่งผ่านการขออ่านนี้ไปบน USB Bus

ดังนั้นอุปกรณ์ปลายทางจะรู้ตัวว่าตัวเองกำหลังถู กเรียกใช้งานและได้รับการ้องขอให้ปลอดปล่อยข้อมูลออกมา อุปกรณ์ปลายทางนี้ก็จะปล่อยข้อมูลตามที่ต้องการไปที่ Root Hub ซึ่งก็จะส่งต่อข้อมูลนี้ไปที่ Host Controller อีกที่หนึ่ง จากนั้น Host Controller ก็จะนำข้อมูลที่ได้รับมาเป็นแบบอนุกรรมนี้มาทำการแปลงให้เป็น ขนาน จากนั้นก็จะนำไปเก็บไว้ที่ Memory Buffer ของ Device Driver อีกทีหนึ่ง



Root Hub



การติดต่อเพื่อสื่อสารข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดย Host Controller จะถูกส่งต่อไปที่ Root Hub เพื่อให้ส่งต่อไปที่ USB Bus ซึ่งเป็นที่ ๆ อุปกรณ์ USB ได้เชื่อมต่อกับตัว Root Hub ซึ่งจัดได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ USB และมีหน้าที่ทำงานหลักดัง นี้

ควบคุมการเชื่อมต่อที่ USB Port

ทำหน้าที Enable/Disable Port (ทำให้ Port ทำงานหรือไม่ทำงาน)

ทำหน้าที่ตรวจสอบดูว่าแตะละ Port ของ Root Hub ติดตั้งอุปกรณ์อะไรบ้าง

สามารถจัดตั้งหรือรายงานสถานะของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Port ต่าง ๆ



USB Hubs



นอกเหนือจาก Root Hub แล้ว ระบบ USB ยังสนับสนุน Hub อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นส่วนขยายของระบบ USB จุดประสงค์เพื่อขยายขนาดการเชื่อมต่อเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ USB ได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะการเชื่อมต่อจะเป็นแบบพ่วง Hub กันไปเรื่อย ๆ Hub ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub นี้มีไว้เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB ต่าง ๆ เช่นคีย์บอร์ดหรือจอภาพ ยิ่งไปกว่านั้น Hub เหล่านี้สามารถมีแหล่งจ่ายไฟเป็นของตนเองเป็นการเฉพาะ หรือจะใช้แรงดันไฟจากสาย USB ก็ได้ การจ่ายไฟให้กับ Hub เหล่านี้โดยผ่านทางสาย USB จะมีข้อจำกัดปริมาณของกำลังงานที่จ่ายออกมาที่ Bus และ ด้วยกำลังที่จ่ายออกมาที่ Bus นี้เองทำให้เกิดข้อจำกัดที่ไม่สามารถติดตั้งได้เกิน 4 USB Port ส่วนประกอบของ Hub มี 2 แบบดังนี้

Hub Controller

Hub Repeater



1. Hub Controller

ประกอบไปด้วย USB Interface ซึ่งเป็นแผงควบคุมภายใน Hub บางทีจะเรียกว่า Serial Interface Engine (SIE) ซึ่งแผงควบคุมนี้จะติดตั้ง Firmware ซึ่งเป็นอุปกรณ์หน่วยความจำประเภท EEPROM ที่สามารถโปรแกรมได้ ภายในหน่วยความจำประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารเรียกว่า Descri ptor ที่มีไว้เพื่อใช้ซอฟต์แวร์อ่านเพื่อพิสูจน์ความมีตัวตนของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Port ของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรวบรวมเอาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานะของ Hub และ Port ซึ่งซอฟต์แวร์ของ USB Host นำไปใช้เพื่อตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อหรือไ ด้ถอดออกไปจาก Port ของ Hub แล้ว รวมทั้งตรวจสอบดูสถานะการทำงานของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรับเอาคำสั่งจากซอฟต์แวร์ของ Host เพื่อควบคุมการทำงานของ Hub ได้อีกด้วย



2. Hub Repeater



ข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บน USB Bus จะต้องวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะวิ่งไปตามกระแสจากล่างขึ้นบน(วิ่งจากอุปกรณ์ไปยัง Host) หรือวิ่งไปตามกระแสลงข้างล่าง (วิ่งจาก Host มายังอุปกรณ์ USB) โดยที่การส่งกระจายข้อมูลจาก Host จะต้องวิ่งไปที่ Root Port ของ Hub และ จะวิ่งไปยัง Port ทั้งหมดของ Hub ที่ยังทำงานอยู่ เมื่ออุปกรณ์ USB ปลายทางได้รับการติดต่อจาก Host แล้ว จะส่งข่าวสารที่เป็นการตอบสนอง วิ่งเป็นกระแสขึ้นบนกลับมาที่ Host โดยที่ Hub จะส่งต่อไปที่ Port ของ USB ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub(เรียกว่า Downstream Port) เพื่อส่งต่อไปที่ Root Hub จากนั้น Root Hub ก็จะส่งต่อไปที่ Host อีกทีหนึ่ง





ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลบน USB

USB สามารถตอบสนองความต้องการที่จะส่งถ่ายข้อมูลหลากหลายชนิดจากแอพพลิเคชัน ซึ่งในระบบ USB สามารถมีระบบการถ่ายเทข้อมูลได้ 4 แบบ ดังนี้

Interrupt Transfer-Interrupt Transfer

Bulk Transfer-Bulk Transfer

Isochronous Transfer

Control Transfer-Control Transfer



การเชื่อมต่อและสาย

USB Connector ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยอมให้อุปกรณ์รอบข้างหรือ Peripheral สามารถเชื่อมต่อเข้ามาที่ทางช่องเสียบของฮับได้ ช่องเสียบของฮับนี้ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์ หรืออาจเกี่ยวพันกับอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น จอภาพ และ เครื่องพิมพ์ หรืออาจจะเป ็นช่องเสียบของฮับแบบโดดเดี่ยว



1 Connector

อุปกรณ์รอบข้างแบบ USB จะต้องมีการเชื่อมต่อกับช่องเสียบด้วยสัญญาณหาก Connector ที่ปลายทั้งสองด้านของสาย USB เป็นแบบเดียวกัน ก็แสดงว่ามีการเชื่อมต่อสายระหว่างช่องเสียบ USB มาตรฐาน USB ซึ่งได้ออกแบบ Connector เพื่อใช้งานอยู่ 2 แบบ

(1) Series A Connector เป็น Connector เพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง USB Port กับสายเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral)

(2) Series B Connector ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์รอบข้าง

แสดงลักษณะของ USB Port ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์



2 สายของ USB

มาตรฐานของ USB ได้กำหนดอัตราความเร็วสูงสุดสำหรับช่องทาง USB ไว้ที่ 12 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดและช่องทางย่อยที่ความเร็ว 1.5 MB/s สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการถ่ายเทที่ความเร็วสูงสุดจะต้องถูกออกแบบเป็นพิเศษเพื่อป้องกันสัญญาณรับกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะ ที่สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการส่งข้อมูลความเร็วต่ำถูกนำมาใช้กับการเชื่อมอุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด

(1) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วต่ำ สายสัญญาณชนิดนี้จะส่งผ่านข้อมูลต่ำที่ความเร็ว 1.5 MB/s ถูกนำมาใช้งานที่ไม่ต้องการแบนด์วิดธ์หรือช่องสัญญาณกว้าง และความยาวของสายสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3 เมตร ขนาดของเส้นลวดคือ 28 AWG

(2) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วสูง สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายตีเกลียวประเภท Shieled Twisted Pair หรือ สายตีเกลียวที่ห่อหุ้มด้วยสื่อที่ป้องกันสัญญาณรบกวน รวมทั้งสายแบบธรรมดา สายสัญญาณประเภทนี้มีระยะทางสูงสุดไม่เกิน 5 เมตร อีกทั้งมี Propagation Delay ไม่เกิน 30 ns เมื่อทำงานที่ความถี่ตั้งแต่ 1-16 MHz4954

หม่องมา
http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=103

มารู้จัก USB 2.0 High speed กันเถอะ


ในโลกปัจจุบันมีการใช้การเชื่อมต่อสือสารโดยใช้ USB มากกว่า 2 พันล้าน ซึ่ง USB นั้นกำลังจะได้กลายเป็นมาตราฐานในอุสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในไม่ช้า เพราะด้วยประสิทธิภาพที่เร็ว และความสมบูรณ์พร้อมที่จะก้าวเข้าสูโลกการสือสารที่ต้องการความรวดเร็ว USB จึงเป็นอุปกรณ์ไร้สายใหม่ที่รวบความเร็วและความปลอดภัยและง่านต่อการใช้งานไว้ในอุปกรณ์นี้ การติดต่อสื่อสารไร้สายอธิเช่น รูปแบบการติดต่อสื่อสารทาง Mobile Computing USB จะสนับสนุนการทำงานแบบ High speed wireless โดยร่วมกับ WiMedia MB-OFDM Ultrawideband(UWB) ซึ่งเป็น Platform Radio ที่จะพัฒนาโดย WiMedia Alliance



UWB เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่อง High bandwidth และ ต้นทุนต่ำ แต่ยังไม่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตจะเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่แพร่หลายอย่างแน่นอน

* USB เป็นที่หนึ่งของ high speed ในการติดต่อสือสารที่ต้องการความรวดเร็วเช่น Mutimedia ,PC peripherals,Mobile device

* USB จะป้องกันอันตรายของการทำงาน และสนับสนุน Streaming media CE device และ peripherals

* USB มีประสิทธิภาพได้มากถึง 480 Mbps ถึง 3 meter และ 110 Mbps ถึง10 meters



USB พอร์ทสื่อสารอนุกรม ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 127 อุปกรณ์ ด้วยความเร็วที่มากกว่า ถึง 12Mbits/s และจะมากถึงประมาณ 400 Mbits/s บน USB 2.0 เทคโนโลยี USB นี้มีความสามารถถึงขนาดนี้ได้อย่างไร



USB คืออะไร

4950

การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆจำเป็นที่จะต้องมี I/Oพอร์ทเพื่อใช้ในการสื่อสาร ( I/O = input , output ) ในสมัยก่อน พอร์ทที่รู้จักกันดี ก็คือ serial port หรือเรียกกันว่า com port และ parallel port แต่ข้อจำกัดของ พอร์ท เหล่านี้นั้นมีมากพอสมควรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเร็ว จำนวนอุปกรณ์จะนำมาต่อได้ และคุณสมบัติทางด้าน Plug & Play USB ก็เป็น I/O port ที่ทำงานในลักษณะ serial bus เช่นกัน สามารถต่อได้กับอุปกรณ์ถึง 127 อุปกรณ์ ต่อ 1 พอร์ท และ สนับสนุนการทำงานแบบ Plug & Play การทำงานในรูปแบบของdaisy-chain devices led อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะทำการ ค้นหา และ ตั้งค่าของอุปกรณ์ที่นำมาต่อให้อย่าง อัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้อง assign ค่า IRQ เพียงแต่ใส่แผ่น Driver ของอุปกรณ์ที่นำมาติดตั้ง และส่วนมากไม่จำเป็นต้อง reboot เครื่องหลังจากติดตั้ง Driver ด้วย ถ้าหากอุปกรณ์นั้นใช้กำลังไฟฟ้าไม่มาก Port USB ก็จ่ายไฟเลี้ยงให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ด้วย

USB ใช้ระบบการจัดส่งข้อมูลอย่างไร

สำหรับ USB เราเรียกระบบบัสเช่นนี้ว่า การติดต่อแบบ "Host/Slave" หมายถึงตัว PC จะเป็นผู้จัดการ การจัดส่งข้อมูลทั้งหมด และอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเพียงแต่พร้อมที่จะรับส่งข้อมูลเท่านั้น โดยตัว USB Host Controller หรือตัวควบคุมของ USB นั้น จะรวมอยู่ในตัว Chipset บนเมนบอร์ด แต่ถ้าหากเป็น Chipset รุ่นเก่าๆก็จะยังไม่มีตัวควบคุม USB ในการจัดส่งข้อมูลนั้น ภายในสาย USB จะมีสายภายในทั้งหมด 4 เส้น ในจำนวนนี้ 2 เส้นใช้เพื่อเป็นสายในการส่งข้อมูล อีก 2 เส้นใช้สำหรับจ่ายไฟเลี้ยง แรงดัน +5 V และ กราวด์ ข้อมูลที่ถูกส่งผ่าน USB นั้นจะต่างไปจาก Parallel และ Serial port ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้นั้น จะส่งข้อมูลเป็น bits เดี่ยวๆ แต่ USB จะส่งเป็นชุดข้อมูล อย่างเช่น ถ้าหากต้องการ เก็บข้อมูลไปยัง USB Zip drive PC จะทำการแบ่งข้อมูลออก มา 64-bytes แล้วใส่ข้อมูลของ address เข้าไปแล้วส่งไปยัง USB port จากนั้นก็จะทำเช่นนี้จนกระทั่งส่งข้อมูลครบสิ่งที่ทำให้ USB ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 12Mbits/s นั้นอยู่ที่แม่นยำของการส่ง เพราะ สายที่นำมาใช้สำหรับ USB นั้น มีระดับสัญญาณรบกวน และ ความเพี้ยนของรูปสัญญาณนั้นน้อยกว่า ทั้ง Parallel และ Serial port และการส่งสัญญาณแบบ isochronous data delivery หมายถึง อุปกรณ์แต่ล่ะชิ้นบนระบบบัสนั้น จะถูกจำกัดขนาดของ bandwidth ให้แน่นอน อย่างไรก็ตาม bandwidth โดยรวมแล้วก็ไม่เกิน 12 Mbits/s นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ USB สามารถต่ออุปกรณ์ได้มากที่สุด 127 อุปกรณ์





จากภาพที่เห็นการต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงออกจากเครื่อง PC ไปยัง อุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น จาก port USB แรก ไปยัง Powered USB Hub แล้วต่อไปยังอุปกรณ์ อื่นๆ รวมถึงต่อไปยัง Powered USB Hub เพื่อต่ออุปกรณ์เพิ่มเข้าได้อีกได้เรื่อยๆ ในลักษณะของการต่อแบบ อนุกรม ส่วน port USB ชุดที่ 2 หลังเครื่องนั้นสามารถต่อไปยัง Monitor ได้โดยอิสระต่อกัน จะสังเกตุได้ว่าหากการต่อมี USB Hub เข้ามาต่อพ่วงด้วย ที่ตัว Hub จำเป็นจะต้องมีชุดจ่ายไฟด้วย เพราะลำพังไฟเลี้ยงจากตัว PC เองคงไม่พอที่จะส่งไปเลี้ยงอุปกรณ์ ต่างๆ ได้



ดังนั้นเราอาจมองได้ว่าสิ่งที่จะต่อจาก USB port นั้นมี 2 ชนิด ก็คือ ต่อเข้าได้กับ Hubs หรือต่อกับ อุปกรณ์ Hubs นั้นมีหน้าที่ ทำให้ สามารถต่ออุปกรณได้มากขึ้นบนระบบบัส บางครั้ง Hubs จะเข้าไป รวมกับอุปกรณ์ อย่างเช่น Monitor ที่มี USB Hubs ในตัว โดยจะ สามารถปรับค่าต่างๆของ Monitor ผ่านระบบปฏิบัติการณ์ และ นอกจากนั้นมีหน้าที่เป็น Hubs ด้วย



Features ที่น่าสนใจของ USB

ก็คือ Hot Pluging และ Plug & Play Feature Hot Pluging นี้นั้นทำให้ เราสามารถที่จะต่อ และ ถอด อุปกรณ์ USB ได้โดยไม่จำเป็นต้อง restart เมื่อ Plug USB ต่อเข้ากับ USB port แล้ว อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเข้าไปจะทำการส่งสัญญาณไปยังเครื่อง PC เพื่อบอกว่าตัวอุปกรณ์นั้น ได้อยู่บนระบบบัสแล้ว และเมื่อติดต่อกัน เรียนร้อย ตัวอุปกรณ์จะส่งข้อมูลของ bandwidth ที่อุปกรณ์นั้นต้อง การไปยัง PC ใน USB มาตรฐานปัจจุบันคือ USB 1.1นั้น ได้แบ่งแยก bandwidth ออกไป 2 ชนิดคือ ความเร็วต่ำ และ ความเร็วปานกลาง โดย อุปกรณ์ ความเร็วต่ำนั้น อย่างเช่น keyboard mouse เป็นต้น และ bandwidth ของอุปกรณ์ความ เร็วต่ำจะถูกจำกัดอยู่ที่ 1.5Mbits/s และอุปกรณ์ความเร็วปานกลาง อย่างเช่น Printer , Scanner , Webcamera อุปกรณ์ ความเร็วปานกลาง เช่นนี้สามารถที่จะส่งข้อมูลได้เต็ม bandwidth คือ 12 Mbits/s หลังจาก PC จัดการกับ ค่า bandwidth ที่อุปกรณ์ต้องการแล้วก็จะกำหนด ค่าหมายเลข ให้กับอุปกรณ์เพื่อจะใช้ในการรับส่งข้อมูล เช่นเดียวกับ IRQ นั่นเอง และหาก ถอดอุปกรณ์ออก PC จะทำการกำหนดค่า bandwidth และ หมายเลขใหม่ ส่วนระบบ Plug & Play นั้นหมายถึง เมื่อติดตั้ง อุปกรณ์เข้าไปอุปกรณ์นั้นๆจะสามารถทำงานได้ในระดับหนึ่งโดยไม่จำเป็นที่จะต้องการ Driver โดย Windows98 จะมี Driver อยู่ในตัวอย่างเช่นอุปกรณ์จำพวก keyboard , mouse และ external hard drives แต่อุปกรณ์อื่นๆก็ยังมักจะต้องมี Driver สำหรับอุปกรณ์นั้นๆ



USB นั้นแพร่หลายแค่ไหน

ในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ต่อพ่วงส่วนมากหันมาใช้ USB กันมากแล้ว บริษัทผู้ผลิต CPU รายใหญ่อย่าง Intel เองก็ได้ใส่ Host Controller ลงใน Chipset ตั้งแต่ Chipset TX มาแล้ว และ OS (operating systems) ในปัจจุบันก็รองรับการทำงานกับ USB ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น Windows 98/2000, Linux (development kernels only), and Mac OS ทั้งนี้รวมไปถึง Dell, Compaq, NEC ที่เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ก็ใช้ USB มานานพอสมควรแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนในยุคแรกๆ นั้นอุปกรณ์ USB ยังอาจจะไม่สามารถใช้กับเครื่องรุ่นเก่าได้แต่ก็มีอุปกรณ์ที่เป็น PCI card เพื่อให้สามารถต่อ USB ได้ แต่ทุกวันนี้เครื่องบาง เครื่องนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้กับ keyboard , mouse USB เลยโดยจะไม่ใช้ port PS/2 เลยและ อุปกรณ์ที่เมื่อก่อนใช้กับ Parallel Port เท่านั้นอย่าง Printer และ Scanner ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาใช้ Port USB โดยที่ราคาไม่ได้สูงจากเดิมมากนัก และต่อไป external drive ไม่ว่าจะเป็น Zip drive หรือ CD-RW drive ก็จะหันมาใช้ USB กัน และยิ่งถ้าหาก USB 2.0 แพร่หลายเชื่อว่า อุปกรณ์ต่อพ่วงเกือบทั้งหมดจะใช้ USB



USB 2.0





USB 2.0 นั้นเป็นเทคโนโลยีของปี 2000 อย่างแท้จริง เพราะ USB 2.0 นั้นได้รับการพัฒนาจน สามารถเร็วกว่า USB 1.1 ในปัจจุบันกว่า 40 เท่า USB 2.0 นั้นก็คือ มาตรฐาน IEEE 1394 ที่ทาง Apple เป็นผู้พัฒนาขึ้นมาและเรียกเทคโนโลยีว่า FireWire และ FireWire หรือ USB 2.0 นั้นมี เป้าหมายในการ รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วประมาณ 360 - 480 Mbits/s หรือ ประมาณ 60 MB/s แต่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเครื่อง PC โดยทาง Intel ก็พบว่าความเร็วอาจจะไม่ได้ ตามที่มุ่งหวังกันไว้ เนื่องจาก Chipset ในปัจจุบันของทาง Intel เองยังมีปัญหาในระดับ core logic ถ้าหากจะทำงานกับ IEEE 1394 ถึงแม้ IEEE 1394 จะเป็นหนทางที่ทำใหใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงกับ PC ได้ประสิทธิภาพสูงในราคา ต่ำแต่ยังไม่เป็นที่ยืนยันว่า Chipset รุ่นต่อไปจะรองรับการทำงานของ IEEE 1394 จากทาง Intel และ Intel ยังกล่าวอีกว่าไม่ แน่นอนในเรื่องของ ต้นทุน และ licensing สำหรับการรับ IEEE 1394 ที่จะต้องจ่ายให้กับ Apple แต่ในปัจจุบันระบบ Hardware ที่ออกแบบมาสำหรับ USB ก็ยังเป็นมาตรฐาน USB 1.1 ซึ่งความเร็วก็เพียงพอสำหรับ Printer และ Scanner และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ออกแบบมาสำหรับ USB 1.1 มากมายแล้ว นั่นทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหาก IEEE 1394 หรือ USB 2.0 มาเป็นมาตรฐานนั้น แล้วอุปกรณ์ USB รุ่นเก่าจะยังสามารถใช้กับ USB 2.0 ได้หรือไม่



Reference
http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=102

http://www.pcworld.com/

http://www.usb.org/

http://www.pantip.com/



วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

HDD.Regenerator.1.51

โปรแกรมสำหรับการฟอแมตเครื่องแบบ ทำลายล้าง.....รักษา BAD Sector ที่พบ เมื่อก่อนได้ยินมาว่า ใช้ในงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

ที่มา

http://www.thaiopenlinux.com/articles/WindowsTips/remove-bad-sector-with-hddregenerator.html

ขออนุญาตินำมาอ้างอิงนะครับ



หลาย ๆ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์อาจจะเจอปัญหา Haddisk ที่ใช้ไปนาน ๆ จะเกิด Bad Sector หรือเกิดมาจากหลาย สาเหตุ เช่น ไฟฟ้าดับ ไฟกระซาก หรือจากสาเหตุอื่นใดก็ตาม อย่าเพิ่งทิ้ง Harddisk ไปเสียละ เรามีทางแก้ที่คุณอาจซุบชีวิต HDD ของคุณให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ซึ่งผมเองก็ใช้วิธีแก้นี้อยู่เป็นประจำ ก่อนหน้านี้มีลูกค้าของผมเอา HDD ที่มี Bad จนใช้งานอะไรไม่ได้มาทิืงไว้ที่ร้านหลายตัวเช่น ซึ่งการแก้โดยวิธีนี้ผมได้วิธีการมาจากน้อง ๆ ในสำนักงานที่

หาวิธีเอาข้อมูลคืนจาก HDD ที่เสีย หลังจากนั้นก็ลองกับ HDD ที่ลูกค้าเอามาทิ้งไว้นั่นแหละ ปรากฏว่าสามารถชุบชีวิตมันคืนได้เกือบทั้งหมด มาดูวิธีการกันดีกว่า

เตรียมพร้อม

ให้ไป Download โปรแกรม HDD Regenerator จากเว็บ http://www.rundegren.com หรือ คลิกที่นี่ เลือกเอาเวอร์ชั่นที่ใหม่ที่สุด ส่วนผมใช้ HDD Regenerator v1.42



เตรียมแผ่นงาน

1. ให้แตก ZIP ออกก็จะได้โปรแกรมดังภาพ


2. เตรียมแผ่น Floppy Disk เปล่าที่ Format เสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ใน Drive A เตรียมไว้เลย

3. ให้ Double click ที่ icon ของโปรแกรมดังในรูปข้างบน ก็ทำตามขั้นตอนไปเลย



คลิกที่ปุ่ม Create เพื่อสร้างแผ่นโปรแกรม




โปรแกรมก็จะเริ่มทำการสร้างแผ่น



เมื่อเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม OK ก็เป็นเสร็จสิ้นการสร้างแผ่นโปรแกรม


การเอา Bad Sector ออกจาก HDD
1. ให้ใส่ HDD ที่มี Bad Sector เข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อม Detect HDD ให้เรียบร้อย

ใส่แผ่น Floppy Disk ที่เราสร้างโปรแกรมเมื่อขั้นตอนที่ผ่านมาใน Drive Floppy Disk

ตั้งการ Boot ให้ใน Bios ให้ Boot จาก Floppy Disk

เริ่ม Boot เครื่องได้





ระบบก็จะทำการตรวจสอบว่ามี HDD อยู่กี่ตัว เพื่อให้เราเลือก SCAN เพื่อ Remove Bad Sector



หากต้องการให้ SCAN ทั้งหมดก็ให้ Enter ผ่านไปเลยหลังจากนั้นโปรแกรมก็จะทำการ

SCAN HDD ให้เพื่อ Remove ไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้น ซึ่งเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหาก็ขึ้น

อยู่กับพื้นที่ที่เกิด Bad Sector หากมากก็ใช้เวลามาก

ซึ่งวิธีการแก้ปัญหานี้ผมลองมาแล้วกับ HDD ที่เขาทิ้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็นำกลับมา

ใช้ได้เกือบ 90 % แต่หาก Scan แล้วยังมีปัญหา Bad Sector แนะนำให้นำ HDD มา

FDISK ใหม่ก่อน แล้วค่อยนำไปใช้งาน จะแก้ปัญหาได้

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก า ร เ กิ ด B a d ข อ ง Ha r d d i s k

บทความนี้ได้มาจากการที่มีผู้ใจดีมาโพสต์ไว้ในกระทู้ของ pantip.com ซึ่งเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ และไม่อยากให้บทความดี ๆ ต้องสูญหายไป ดังนั้น จึงขอนำเอาข้อความที่มีผู้มาโพสต์นี้ เก็บไว้ในที่แห่งนี้ เพื่อเผยแพร่ค่ะ (ขอให้อ่านโดยใช้ความเชื่อของท่านเองนะคะว่าจะเชื่อหรือไม่ อย่างไร)

การ Low-level Format และ High-level Format


การ Low-lovel Format
เป็นกระบวนการทำงานของฮาร์ดดิสก์โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างหรือกำหนด
Track, Sector หรืออธิบายได้อีกอย่างว่าเป็นการเขียนโครงสร้างของ
Track,Sector ตามรูปแบบที่ Firmware
ภายในฮาร์ดดิสก์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้การทำงานของกลไกภายในกับวงจรควบคุมหรือ
PCB สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน ซึ่งการ
Low-level Format นั้นเป็นการลบข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยที่ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกลบไปอย่างถาวรจริง




ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า
การ Low-level Format นั้น เป็นกระบวนการทำงานหรือเป็นคำสั่งของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า
ที่ยังใช้ Actuator แบบ Stepper Motor
,ใช้ระบบ Servo เก่า ๆ แบบ Dedicated
Servo, มีการใช้โครงสร้างของ Track,
Sector แบบเก่า ซึ่งฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่และไม่เหมือนกันเลย
การใช้ Stepper Motor เป็น Actuator
ของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ๆ นั้น มีข้อเสียหรือจุดอ่อนตรงที่เมื่อเราใช้ไปนาน
ๆ เฟืองกลไกภายใน Motor จะหลวม ทำให้การควบคุมให้หัวอ่าน/เขียนอยู่นิ่ง
ๆ บน Track (ที่จะอ่านข้อมูล)เป็นไปได้ยาก
และอีกสาเหตุที่กลไกหลวม ก็เพราะอุณหภูมิที่สูงซึ่งเกิดจากการที่ตัว
Actuator เคลื่อนที่ไปมาเพื่อหาข้อมูล
แน่นอนค่ะ



มันเป็นโลหะที่ต้องมีความร้อนเกิดขึ้น
เปรียบเทียบก็เหมือนกับ Ster รถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์
ที่ต้องรูด เมื่อเจอกับโซ่ที่ลากผ่านไปมาเป็นเวลานาน
ๆ และก็เป็นสาเหตุให้หัว/อ่านเขียน
ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้อย่าง ถูกต้อง
ยิ่งนับวันอาการก็จะรุนแรงมากขึ้น



อีกประการหนึ่งที่การ Low-level Format
ไม่สามารถนำมาใช้กับ ฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ได้ก็เพราะโครงสร้างการจัดวาง
Track, Sector ไม่เหมือนกัน ฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าจะมีจำนวนของ
Sector ต่อ Track คงที่ ทุก ๆ Track
แต่ในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ จำนวนของ
Sector จะแปรผันไปตามความยาว ของเส้นรอบวง
(ของ Trackนั่นแหละค่ะ) ยิ่งต่างรุ่นต่างยี่ห้อต่างความจุ
ก็ยิ่งต่างไปกันใหญ่ หากเราฝืนไป
Low-level Format บอกตรง ๆ ว่านึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ฮาร์ดดิสก์อาจไม่รับคำสั่งนี้เพราะ
ไม่รู้จักหรืออาจรับคำสั่งแล้วแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
จนอาจจะทำให้วงจรคอนโทรลเลอร์ (PCB)
สับสนกันเอง (ระหว่าง IC) จนตัวมันเสียหายก็ได้
แต่ถ้าฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนท่านใดเป็นรุ่นเก่า
ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่เอ่ยมา และมี
BIOS ที่สนับสนุนก็สามารถ Low-level
Format ได้ครับ (เช่น คอมฯ รุ่น 286
ที่มี Hdd 40MB.) เราจะเห็นได้ว่า
BIOS รุ่นใหม่จะไม่มีฟังก์ชั่น Low-level
Format แล้ว เพราะ BIOS ก็ไม่อาจที่จะรู้จักโครงสร้าง
Track, Sector ของฮาร์ดดิสก์ได้ทุกยี่ห้อ
ทุกรุ่นเพราะความต่างอย่างที่บอกไว้ละค่ะ




กลับมาสู่ความจริงของความรู้สึกเรากันหน่อยนะคะ
ซึ่งเข้าใจดีว่า เพื่อน ๆ ทุกคนหากเมื่อเจอ
Bad Sector ในฮาร์ดดิสก์ของตัวเองย่อมใจเสียแน่นอน
เพราะข้อมูล ที่อยู่ข้างในนั้นมีผลกับจิตใจ
กับความรู้สึกของเรามาก และเราต้องการที่จะได้มันคืน
และในตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิด ถึงด้วยซ้ำว่าเราซื้อมันมาแพงแค่ไหน
และถ้าหากเราได้ยิน ได้ฟังอะไรที่เล่าต่อกันมาว่า
มันสามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ของเราดีเช่นเดิมได้
เราย่อมให้ความสนใจ อยากลอง อยากได้
อยากมี แต่ว่าการ Low-level Format
นั้นใช้ไม่ได้กับฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่
ๆ เราไม่สามารถเอา สนามแม่เหล็กมาเรียงให้ดีเหมือนเดิมได้
และไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะมาช่วยได้ด้วย
ก็ต้องปลง และถนอมมัน ให้ดีที่สุด




การ High-level Format หรือการ Format (หลังจากการแบ่ง Partition แล้ว)
ที่เราเรียกกันอยู่บ่อย ๆ โดยใช้
DOS นั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำการเขียนโครงสร้างของระบบไฟล์
(FAT: File Allcation Table ซึ่งมีทั้ง
FAT32 และ FAT16) และเขียน Master
Boot Record (ซึ่งเป็นพ.ท.ที่จะเก็บแกนหลักของระบบปฏิบัติการเช่น
DOS) การ Format นี้นั้นฮาร์ดดิสก์จะไปลบ
FAT และ Master Boot Record ทิ้งไป
แต่มันไม่ได้ทำการลบทุกสิ่งทุกอย่าง
เหมือนดังเช่นเรากวาดของบนโต๊ะทิ้งไปจนเหลือแต่พื้นเรียบๆ
มันแค่ทำการเขียนข้อมูล "0000"
ลงไปบนแผ่นดิสก์ เท่านั้น ซึ่งคำว่า
"เขียนข้อมูล
0000 ก็คือการFormat ของเรานั่นแหละค่ะ"

ดังนั้นหากใครคิดว่าการ Format บ่อย
ๆ นั้น ไม่ดีก็นานาจิตตังค่ะ



บางคนถามว่า Virus ทำให้เกิด Bad Sector ได้หรือไม่
ขอตอบว่าไม่ แต่มันทำให้ ฮาร์ดดิสก์เสียได้ค่ะ
เพราะการที่มันเข้าไปฝังที่
Master Boot
Record
ค่ะ ก็ต้องแก้กันโดยการ
Fdisk
กำหนด Partition
กันใหม่ และVirus ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูล
ๆ หนึ่งที่เราจะลบทิ้งไปก็ได้ และ
Virus จะเข้าไปใน Firmware
และSystem Area ของฮาร์ดดิสก์ก็ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะ Firmware ของฮาร์ดดิสก์จะไม่ยอมให้แม้กระทั่ง
BIOS ของคอมฯเห็น Cylinder นี้ซึ่งเสมือนว่า
Cylinder นี้ไม่มีอยู่จริง การที่ฮาร์ดดิสก์พบ
Bad Sector นั้น มันจะทำการทดลองเขียน/อ่านซ้ำ
ๆ อยู่พักหนึ่งจนกว่าจะครบ Loop ที่
กำหนดแล้ว ว่าเขียนเท่าไหร่ก็อ่านไม่ได้ถูกต้องซักที
ฮาร์ดดิสก์ก็จะตีให้จุดนั้นเป็นจุดต้องห้ามที่จะเข้าไปอ่านเขียนอีก
แต่ถ้าข้อมูลสามารถกู้คืนมาได้มันก็จะถูกย้ายไปที่
ๆ เตรียมไว้เฉพาะ เมื่อฮาร์ดดิสก์ตีว่าจุดใดเสียแล้วมันจะเอาตำแหน่งนั้นไปเก็บที่
System Area ซึ่งข้อมูลที่บอกว่ามีจุดใดที่เสียบ้างนั้นจะถูกโหลดมาทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์
Boot และเราไม่สามารถเข้าไปแก้ข้อมูลนี้ได้ด้วยค่ะ
Norton ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่มันทำ ก็ทำได้แค่
Mark ไว้แล้วก็เก็บข้อมูล นี้ไว้
จากนั้นก็ทำเหมือนกับที่ Firmware
ฮาร์ดดิสก์ทำ คือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
พ.ท.นี้อีก หรือหลอกเราว่าไม่มี พ.ท.เสีย
เกิดขึ้นเลย การ Format ด้วย DOS
ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกันคะ เพื่อน ๆ
บางคนคิดว่าหากมี Bad Sector แล้วมันจะขยายลุกลามออกไป
ขอตอบว่าไม่จริงค่ะ เราไม่ควรลืม
ว่า บนแผ่นดิสก์นั้นคือสารแม่เหล็กที่ฉาบอยู่
และมันหลุดได้ยาก ต่อให้หลุดแล้วก็ลามไม่ได้ด้วยนะคะ



การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector



ขอชี้แจงเรื่อง การซ่อมฮารด์ดิสก์ โดยแก้ไขไม่ให้มี Bad Cluster หรือ Bad Sector
ให้เพื่อน ๆ เข้าใจสักหน่อยนะคะว่า การที่ฮารด์ดิสก์มี
Bad Cluster หรือ Bad Sector นั้น
เราไม่สามารถที่จะแก้ไขไม่ให้มันหายไปได
เพราะการทำงานของ Firmeware
ในฮารด์ดิสก์จะกำหนดไว้ว่า ถ้าหากหัวอ่าน/เขียนของมัน
พบปัญหา เช่นอ่านแล้วข้อมูลไม่ถูกต้อง
และวงจรตรวจสอบที่อยู่บน PCB มันใช้
ECC หรือ CRC หรือ Read Retry (หรือวิธีอื่น
ๆ ที่แล้วแต่เทคโนโลยีของ บ. ผู้ผลิต)
เข้ามาช่วยแล้วแต่แก้ไขไม่ได้ ฮารด์ดิสก์จะตีว่า
พ.ท.นั้นเป็น Defect
หรือกำหนดให้เป็นจุดเสียที่มันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก
และข้อมูลที่เอาไว้บอกตัวฮารด์ดิสก์เองว่าจุดใดบ้างที่เสียนั้น
จะเก็บไว้ที่ System Area ซึ่งเป็น
Cylinder ที่เราจะเข้าไปแก้ไขข้อมูลในจุดนี้ไม่ได้เลย
เพราะเป็น Cylinder ที่ฮารด์ดิสก์กันเอาไว้ให้ตัวของมันเองโดยเฉพาะ
และทุกครั้งที่ฮาร์ดดิสก์บูตมันจะต้องเข้าไปอ่านข้อมูลที่
System Area แล้วเอามาเก็บที่ Ram
เพื่อที่จะบอกกับตัวมันเองว่ามี
พ.ท. ตรงไหนบ้างที่ห้ามเข้าไปอ่าน/เขียน



การที่จะเข้าไปแก้ข้อมูลในจุดนี้ต้องใช้เครื่องที่โรงงานผู้ผลิตนั้นออกแบบมาโดยเฉพาะ
และต่อให้เราเข้าไปแก้ได้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะ
พ.ท.ตรงนั้นอาจมีสิ่งสกปรกติดอยู่
หรือสนามแม่อาจถูกกระทบกะเทือนจนหลุดออก
ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
และในความเป็นจริงยังมีสาเหตุอื่น
ๆ อีกมากที่ทำให้เกิด Bad Cluster
หรือ Bad Sector ก็ตามแต่จะเรียก
สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ห้ามกระแทกฮารด์ดิสก์แรง
ไม่ว่ามันจะทำงานอยู่หรือไม่ก็ตาม
และเมื่อคุณจับมันก็ไม่ควรจับที่
PCB
เพราะไฟฟ้าสถิตย์ในตัวเราอาจวิ่งไปยังวงจรที่
PCB แล้วทำให้ IC เสียหายได้ และจุดนี้เองที่ร้านที่ทำให้เกิดร้านรับซ่อมฮาร์ดดิสก์
ซึ่งเขาเพียงแค่อาศัยการเปลี่ยนแผ่น
PCB ที่ประกบอยู่โดยการหารุ่นและยี่ห้อที่ตรงกันมาเปลี่ยน
ง่าย ๆ เท่านี้เอง


และการที่เราคิดว่าแผ่นดิสก์ภายในมีรอยก็น่าจะเปลี่ยนได้
ขอบอกเพื่อน ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเปิด
Cover หรือฝาครอบมันออกมาแล้วเอาแผ่นใหม่ใส่เข้าไป
เพราะบนแผ่นดิสก์ทุกแผ่นและทั้งสองด้านของแผ่นจะมีสัญญาณ
Servo เขียนอยู่ ซึ่งสัญญาณนี้จะถูกเขียนในลักษณะตัดขวางเหมือนกับการแบ่งเค้กกลม
ๆ ออกเป็นส่วน ๆ โดยที่สัญญาณนี้จะต้องตรงกันทุกแผ่นจะวางเยื้องกันไม่ได้เลย
เพราะเครื่องเขียนสัญญาณกำหนดให้ต้องตรงกัน
ซึ่งขอเปรียบเทียบกับล้อรถยนต์ที่ต้องมีจุ๊บเติมลม
ที่เราต้องเอาจุ๊บของล้อทุกล้อมาวางให้ตรงกันเพื่อที่จะบอกให้
PCB ได้รับทราบว่าจุดเริ่มต้นของดิสก์หรือ
Sector 0 หมุนไปอยู่ที่ใดบนแผ่นดิสก์
และสัญญาณนี้ไม่สามารถมองให้ได้ด้วยตาเปล่าต่อให้เอากล้องจุลทรรศมาส่องก็ไม่เห็น
การที่เราจะจับฮารด์ดิสก์ให้มีความปลอดภัยนั้นตัวเราต้องลงกราวนด์
นั่นคือเท้าเราต้องแตะพื้นให้ไฟฟ้าสถิตย์จากตัวเราไหลลงพื้นดิน
เพื่อน ๆ อาจนึกไม่ถึงว่ามันจะมีผลมากถึงขนาดว่าทำให้ฮารด์ดิสก์เสีย
แต่เราอย่าลืมว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราไปจับโลหะอะไรมาบ้างแล้วมันถ่ายเทประจุให้เราเท่าไหร่,จะมีผลต่อสิ่งอื่น
ๆ ไหมเราไม่รู้เหมือนกับรถบรรทุกขนถ่ายน้ำมัน
ที่เวลาวิ่งต้องเอาโซ่ลากไปตามถนนเพื่อระบายประจุ
หรือทำให้เกิดความต่างศักย์น้อยที่สุด
หรือเป็นศูนย์เพราะมันอันตรายมากที่เวลาเอาหัวจ่ายน้ำมันรถไปต่อกับวาลว์รับน้ำมัน
ซึ่งอาจเกิดประจุไฟ้ฟ้าวิ่งจากศักย์สูงไปศักย์ต่ำแล้วเป็นประกายไฟ
เพราะเวลารถวิ่งไปชนอากาศที่มีประจุลอยอยู่มันก็จะสะสมไปเรื่อย



อยากบอกว่าเสียดายมาก ๆ หากฮารด์ดิสก์เกิด
Bad Sector ขึ้นมาแต่ก็ต้องทำใจยอมรับ
เนื่องจากมันแก้ไขไม่ได้จริง ๆ
ต่อให้เอาเครื่องมือในโรงงานมากองต่อหน้าแล้วให้อยู่ใน
Clean Room ก็ทำไม่ได้ (ยกเว้นนั่งรื้อชิ้นส่วนออกหมดแล้วเอาแผ่นดิสก์ใหม่มาใส่เพราะเครื่องเขียน
Servo อยู่ในนั้น) แต่การที่เราจะเลี่ยงไม่ใช้
พ.ท.ที่เสียอยู่ในตอนอื่น ๆ ของข้อมูลนั้นก็ทำได้เช่นแบ่งพาร์ทิชั่นออกเป็นส่วน
ๆ โดยให้พาร์ทิชันที่เราไม่ต้องการครอบตรงจุดเสียไว้
หรือถ้าหากเราต้องการกู้ข้อมูลที่มีความสำคัญมาก
ๆ ก็ต้องใช้ Software ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
เช่น Spinrite หากถามว่าทำไม บ.ผู้ผลิตไม่ออกแบบให้ฮาร์ดดิสก์แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อน
หรือให้มันสามารถกู้ข้อมูลได้เล่า
คำตอบก็เป็นเพราะมันทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น,
และทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตหรือกว่าที่จะออกจำหน่ายได้ช้าออกไปอีก
,ทำให้ความเร็วในการทำงานลดลงด้วย

สอนการใช้งาน Virtual DJ ครับ UPDATE!!! PART II - CONFIG SECTION

การใช้งาน Virtual DJ

ผมเป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นใช้งาน Virtual DJ ครับ ก็เลยมีปัญหาการใช้งาน และคิดว่าหลาย ๆ คนก็มีปัญหาเหมือนๆ กัน
ผมเลยได้ แปลและแนะนำการใช้งาน Virtual DJ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างแก่เพื่อนๆผู้เริ่มใช้งาน Virtual DJ นะครับ

ผมใช้ Virtual DJ 4.x เป็นตัวอย่างในครั้งนี้นะครับ (Virtual DJ Version อื่น ๆ ก็ใช้งานร่วมได้นะครับ อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย)
ผมใช้ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 Internal Mixer เป็นภาพประกอบนะครับ ต้องขอขอบคุณมานะที่นี้ด้วยนะครับ

เริ่มต้นการใช้งานแบบกำนันงรัดนะครับ
การแนะนำการใช้งาน Virtual DJ อย่างกำนันงรัดนี้ เพื่อนๆ สามารถเริ่มใช้งานได้แบบแบบรวดเร็ว เป็นขั้นพื้นฐานในการใช้งาน
เพื่อที่จะนำเข้าสู่หลักการใช้งานที่ละเอียดมากขั้นต่อไปนะครับ

1. ขั้นแรกเลือกเพลงที่ต้องการจะมิกซ์ โดยการคลิกที่เพลงที่ต้องการ (ตามตัวอย่าง )
แล้วลากไปไว้ที่ Turntable ตัวที่ 1 ด้านซ้ายมือ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า DECK 1)
(ดูรูป VDJ 01)


2. คลิกปุ่ม เพื่อเล่นเพลง Play (Stutter) (ควรรอให้Virtual Dj โหลดเพลงให้เสร็จก่อนนะครับ)
(ดูรูป VDJ 02)

3. โหลดเพลงที่ต้องการจะเล่นต่อไปที่ Turntable ตัวที่ 2 ด้ายขวามือ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า DECK 2)
(ดูรูป VDJ 03)

4. ลองกดปุ่ม Play (Stutter) ที่ Deck 2 เพื่อให้เพลงทั้งสองเพลงมาเชื่อมต่อกัน
จะเห็นได้ว่าเพลงที่สองยังไม่เข้ากัน ทั้งจังหวะ(Rhythms)และความเร็วเพลง(BPM : Beat Per Minute)ยังไม่เข้ากัน

5. ทดลองโดยการคลิกขวาที่ปุ่ม Sync (Virtual DJ Version อื่นอาจเรียกว่า Beat Lock นะครับ)ที่ Dcek2 จะเห็นได้ว่า จังหวะได้เข้ากัน
(ดูรูป VDJ 04)

(สังเกตุโดยจะเห็นได้ว่าเส้นคลื่นเสียง(Waveform)บอกจังหวะบน Rhythm Window ผสานกันเป็นเส้นเดียว)

Rhythm Window 01 คลื่นเสียงที่ยังไม่เข้ากัน (ดูรูป Rhythm Window 01)
Rhythm Window 02 คลื่นเสียงที่เข้ากัน (ดูรูป Rhythm Window 02)

แต่ว่าคลื่นเสียงเข้ากันได้แต่ไม่นานก็แยกกันอีกครั้ง นั้นเป็นเพราะว่า ความเร็วของเพลง(BPM)ยังไม่เข้ากันนะครับ
(สังเกตุบนแถบข้อมูลที่แสดง BPM ว่า ทั้งสองเพลงมีความเร็วของเพลงที่ไม่เหมือนกัน)
ู(ดูรูป VDJ 05)

6. คลิกซ้ายที่ปุ่ม Sync ที่ Deck 2 สังเกตุดูว่าตอนนี้ ความเร็วของเพลงทั้งสองได้เข้ากันแล้ว

(ความเร็วเพลงของDeck ที่เรากดปุ่ม Sync จะอ้างอิงความเร็วเพลงของอีก Deck หนึ่งเสมอ เช่น เมื่อ Deck 1 มีความเร็วเพลงที่เล่นอยู่ เท่ากับ 136 BPM เมื่อกดปุ่ม Sync ที่ Deck 2 ไม่ว่าความเร็วเพลงต้นฉบับจะเป็นเท่าใดก็แล้วแต่ จะถูกปรับให้เหมือนกับความเร็วของอีก Deck หนึ่งเสมอ นั้นก็คือ 136 BPM) คงเข้าใจกันนะครับ ฮิฮิ

(ข้อควรจำอีกอย่างนั้นนะครับ การคลิกซ้ายที่ปุ่ม Sync ก็คือการทำให้ Beat ตรงกัน ส่วนการกดปุ่มขวาที่ปุ่ม Sync ก็คือการทำให้ เสียงเข้ากันนะครับ ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันอยู่นะครับ ความสำคัญของการคลิกขวาหลัก ๆ ก็คือ เอาใช้ไว้เวลาที่ Beat ใหล หรือว่ากดปุ่ม Play ช้าไปหรือเร็วไป มันจะทำให้ เสียงมาประสานกันทำให้การมิกซ์เพลงนั้นง่ายขึ้นละเนียนขึ้นละครับ)

7. จากนั้นก็ลองเลื่อน Crossfader ไปทางหรือขวาเพื่อเลือกฟังหรือค่อย ๆลดเพลงลง ให้มันเนียนๆ ฮะครับ
ลองดูกันนะครับไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ใหน ผมกำลังเตรียมที่จะแนะนำการใช้งานอื่นๆต่อไป ยังไงก็ลองดู Feedback กันก่อนละกันครับ แล้วเพื่อน ๆที่ยังไม่รู้เรื่อง BPM , การนับจังหวะ, หรือว่าศาสตร์และศิลป์ในการมิกซ์เพลงก็ลองหาอ่านดูในบอร์ดนะครับ ที่ปักหมุดนั้นละครับมีรุ่นพี่และก็เพื่อน ๆ ให้คำแนะนำกันมากครับ











* VDJ_01.JPG (57.49 KB, 720x536)



* VDJ_02.JPG (57.63 KB, 721x535)



* VDJ__03.JPG (74.79 KB, 757x570)



* VDJ_04.JPG (75.47 KB, 760x571)



* VDJ__05.JPG (75.39 KB, 761x570)



* Rhythm_Window_01.JPG (20.3 KB, 1017x88)



* Rhythm_Window_02.JPG (20 KB, 1012x87)










มาต่อเรื่อง Virtual Dj กันต่อเลยนะครับ
ต้องขอขอบคุณ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 Internal Mixer อีกเช่นเคยนะครับที่ผมใช้เป็นตัวอย่างในการแนะนำครั้งนี้ครับ

Option
หลายๆ คนที่ใช้งาน Virtual Dj อาจยังไม่เข้าใจ หรือว่า ใช้งานโปรแกรมที่เครื่องให้มาไม่ครบทั้งหมด
วันนี้ผมเลยอยากจะแนะนำเรื่อง Option ของ Virtual Dj กันนะครับ

1. การเข้าสู่โหมด Option
การเข้าสู่โหมด Option โดยการเลือกปุ่มที่มีคำว่า Config หรือบาง Skin อาจใช้คำว่า Set นะครับ
(ดูรูป การเข้าสู่โหมด Config ประกอบนะครับ)

2. เมื่อเข้าสู่โหมด Option แล้ว ก็จะมี Pop up Window ขึ้นมานะครับ

2.1 โหมดแรก Sound Set Up โหมดนี้เข้าใจง่ายครับเพราะว่ามีภาพประกอบ
(แต่ว่าบางโหมดจะไม่สามารถใช้งานได้นะครับ ต้องเป็น Version Pro เท่านั้นครับถึงจะใช้ได้)
Input เป็นการเลือกหรือไม่เลือกว่าเราจะใช้ Time code หรือ เครื่องมือในการมิกต์หรือไม่
Output เป็นการเลือกว่าเราต้องการที่จะให้เสียงออกมาในช่องทางใหนบ้าง
Sound Cards เป็นการเลือกว่า Sound Card ของเราเป็นแบบใหน
ส่วนด้านล่างเป็นช่องต่อเนื่องจากการเลือก Output และ Sound Card ว่าเราต้องการให้ Card ตัวใหนขับเสียงออกมารูปแบบใด
(อาจและอ่านแล้วงงสักหน่อยลองดูภาพประกอบที่โปรแกรมให้มารับรองว่าเข้าใจแน่นอนครับ)
2.2 Option หรือ General

General Option ประกอบไปด้วย
Auto Update : เปิด, ปิด การให้โปรแกรมตรวจสอบ Version ใหม่โดยอัตโนมัติ (ใช้ของดูดมาก็ระวังหน่อยนะครับฮิฮิ)
Charts : เป็นการเปิด, ปิด การนับจำนวนครั้งของเพลงที่เล่นจากผู้ใช้งาน Virtual Dj ทั่วโลกว่าเพลงใหนมีผู้เล่นมากที่สุด ดูข้อมูลเพลงได้จาก http://www.virtualdj.com/
Tooltip : เปิด, ปิด การให้โปรแกรมแสดงข้อความแนะนำเมื่อเมาท์อยู่บนปุ่มกด
MSN : เมื่อเราใช้งาน Virtual Dj จะมีโปรแกรมหนึ่งซื่อว่า Crash-Guard (ไม่ใช่ชื่อเพลงของพี่แบงค์นะ ปัดโธ่ เดี๋ยวปัดเหนี่ยวเลย.....)
มันจะทำหน้าที่ในการตู้คืนและป้องกันการ Error ของ Software อื่น ๆ รวมทั้ง Operation System (OS)
โดยมันจะทำให้ Software อื่นที่เปิดใช้งานควบคู่ไปกับ Virtual Dj แล้วเกิดการ Error เงียบ รวมทั้งเสียงของ OS ด้วย
เช่นเสียง คลิกเมาท์ แต่ว่า Version นี้ได้เพิ่มการใช้งานของขา Chat ให้ Mix&Mouth ไปพร้อมกันได้ โดยไม่ทำให้ Virtual Dj สะดุดแต่อย่างใด
(ไม่แน่ใจว่าให้เพื่อนเราฟังเพลงที่เรามิกซ์ ไปพร้อมกับการ Chat ได้หรือไม่แต่เอาเถอะใครที่อยากให้ชาวโลกได้รับรู้
และอยากประกาศตัวเป็นเจ้ายุทธจักรในการมิกซ์เพลงเอาไว้จะบอกวิธีการในโอกาศหน้าก็แล้วกันนะครับ)
Max Load : เป็นการกำหนดระยะเวลาสูงสุดของเพลงที่ให้เครื่องของเราจดจำ เพื่อที่จะทำให้เราเล่นเพลงที่มีขนาดยาวโดยไม่กินแรงหน่วยประมวณผลของคอมพิวเตอร์
Read ID3 Tags : ผมได้เข้าไปในเว็บไชต์ http://www.virtualdj.com/ อยู่หลายที่เหมือนกัน เห็นได้ว่ามีผู้ใช้หลายคนทั่วโลกนิยมใช้ Virtual Dj กันมาก และมีคำถามและข้อแนะนำจากเหล่าผู้ใช้งานทั่วโลกว่า
“ทำไมยูไม่ให้ Virtual Dj อ่าน ID3 Tags ได้ละ ยูรู้ใหมว่าฉันเบื่อและไม่อยากแก้ไขชื่อเพลงที่มีเป็น หมื่น ๆ เพลงของฉันในเครื่องคอมพิวเตอร์
(พ่อเอ้ย....แบ่งผมโหลดของพ่อสักเพลงสองเพลงบ้างเถอะ...) ถ้ายูไม่รีบแก้ไข ไอ คงต้อง Uninstall โปรแกรมของยูแน่”
ทางโปรแกรมเมอร์ของ Virtual Dj ก็ตอบกลับมาว่า ได้คราบ.....จะจาดให้ครับ (กรุณาทำเสียงเหมือนโฆษณาดีเทค)
นั้นเป็นเพราะว่า Virtual Dj มี Format การชื่อเพลงเป็น (ชื่อศิลปิน) ชื่อเพลง.mp3 และ ชื่อศิลปิน – ชื่อเพลง.mp3 ครับบางคนเห็นว่ามันไม่เห็นเป็นไรเลยของฉันก็อ่านได้
ใช่ครับ แต่บางเพลงทีปัญหาคือ ชื่อเพลงขึ้นก่อนศิลปิน หรือ ชื่อเพลง(นักร้องรับเชิญ) หรือ Version ของเพลงเช่น (Remix), (Radio Edit) อะไรแบบเนี้ยครับมันเลยทำให้มีปัญหาเวลาหาชื่อเพลง
ผู้ใช้ส่วนใหญ่หาทางออกด้วยวิธี หาโปรแกรมเปลื่ยนชื่อเพลงมาแก้ไขครับซึ่งเป็นวิธีมี่ดีทีเดียวครับ แต่ Virtual Dj ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจใส่โหมด ID3 Tags ให้ Virtual Dj อ่านได้
แต่แค่ ชื่อเพลงกับComment เท่านั้นนะครับ และVirtual Dj ได้เตื่อนไว้ว่ามันจะทำให้การค้นหาเพลงช้าลง ผมได้ลองOption นี้แล้วมันก็ช้าลงนะครับ(นิดดดด....หน่อย)
แต่มันก็ยังไม่ค่อยWork เท่าไหร่ครับ
Write VDJ Tags : เป็นการเลือกให้ Virtual Dj เขียน VDJ Tags ลงไปบนเพลงของเราหรือไม่ ข้อดีก็คือว่าเราสามารถเอาเพลงของเราไปใช้กับเครื่องอื่นได้โดยที่มันจะจดจำ
Cues, Comment, และข้อมูลอื่น ๆ ให้โดยไม่ต้องทำใหม่
Security : เป็นการป้องกันและให้โปรแกรมถามเราก่อนว่า “คุณแน่ใจแล้วหรือ” ก่อนที่เราจะทำอะไรลงไปอย่างผิด ๆ เช่น เปลื่ยนเพลงขณะที่เพลงกำลังเล่นอยู่
หรือปิดโปรแกรมในขณะที่ปิดเพลงอยู่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดของเราเอง (เปิดไว้ดีกว่านะผมว่า....กันไว้ดีกว่าแก้)
Scrolling : เป็นการเลือกให้หน้าต่างแสดงจังหวะ (Rhythm Window) แสดงคลื่นเสียง (Waveform) ไปทิศทางไหน จากซ้ายไปขวาหรือจากขวาไปซ้าย
Disc : เป็นการเลือกความเร็วในการหมุนของ Turntable เสมือน บนหน้าจอว่าให้มีความเร็วเท่าใด (ความเร็วปกติจะตั่งไว้ที่ 33 1/3)
Pitch Range : เป็นการเลือกขอบเขตการตั่งค่าระดับเสียง Pitch อาจเรียกได้ว่าการตั่งค่าการปรับระดับความเร็วของเพลงให้มีระยะขอบเขตเท่าใด
เพื่อป้องกันเพลงเพี้ยน หรืออื่นๆ โดยมีให้เลือก 3 ระดับคือ -8% ถึง+8%, -12% ถึง+12%, -34% ถึง+34%

FAME Algorithm Option ส่วนนี้จะเป็นการตั้งการทำงานของระบบมิกซ์อัตโนมัติ (Auto Mix) และการใช้งานทั่วไปนะครับ
BPM Engine : ให้เลือกระหว่าง Techno/House ซึ่งวิเคาระห์หา BPM จากจังหวะการเคาะหรือการตีของเพลง ส่วนAny Music วิเคาระห์หา BPM จาก
ทำนองเพลงเหมาะสำหรับเพลงพวก Rock n’ Roll หรือ Salsa โดยการวิเคาระห์แบบ Any Music จะใช้ทรัพยากรของเครื่องมากกว่า
Auto BPM : เลือกเพื่อให้ Virtual Dj ปรับ BPM ให้โดยอัตโนมัติ
Auto Gain : เลือกเพื่อให้โปรแกรมจัดการความดังของเพลงที่ไม่เท่ากัน เมื่อเลือก Always 0dB โปรแกรมจะจัดการปรับให้เสียงอยู่ที่ 0dB, เมื่อเลือก Always Match
โปรแกรมจะทำให้เสียงของทั้งสอง Deck มีความดังเท่ากัน, เมื่อเลือก Disable โปรแกรมจะไม่ทำการได ๆ กับเสียงของเพลงนั้น
Auto Pitch-Reset : เป็นการปรับให้ Pitch เป็น 0% ทุกครั้งเมื่อโหลดแทรกใหม่
Auto EQ-Reset : เป็นการปรับให้ EQ ทั้ง 3 Band ตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่โหลดแทรกใหม่
Auto Cue : กำหนดให้โปรแกรม เริ่มตั้งเพลงที่ Cue แรกทุกครั้งที่โหลดแทรกใหม่ เมื่อไม่ได้กำหนดค่า Cue โปรแกรมจะตั้งเพลงให้ที่ Beat แรกทุกครั้งเมื่อเลือกโหมด Always
Disengage Beat Lock : ปล่อยให้ Beat Lock เป็นอิสระทุกครั้งเมื่อโหลดแทรกใหม่
Force Fade : เป็นเครื่องมือในการต่อเพลงแบบอัตโนมัติ Auto Mix อีกแบบหนึ่งใช้งานร่วมกับ Fade Length (ที่จะกล่าวถึงต่อไป)
ใช้ในการต่อเพลงแบบไม่คำนึกถึงความเร็วเพลงและห้องในการมิกต์ (มิกต์แบบร้านอาหารอะครับ ขอย้ำ ร้านอาหารนะครับไม่ใช่ คลับ) คือลด Volume แล้วเปิดอีกเพลง หรือ shot เพลงนะครับ
(เมื่อเปิดโหมดนี้ การมิกซ์เพลงอัตโนมัติจะไม่สามารถมิกซ์แบบอิง Tempo กับ Crossfader ได้นะครับต้องปิดก่อน)
Fade Length : เลือกเวลา,ความยาวเพลง ที่เราจะมิกซ์ให้มันซ้อนทับกัน
Crossfader : เลือกลักษณะของ Crossfader ที่จะใช้งาน

2.3 Performance
เป็นการตั้งค่าคุณภาพของเสียงนะครับ
2.4 Skin
เอาไว้เลือก Skin ต่าง ๆ มาใช้งานนะครับ สำหรับใครที่ต้องการจะโหลด Skin จากทาง Website จะต้องสมัครสมาชิกและที่สำคัญจะต้องใช้ Virtual Dj ตัวจริงเสียงจริงนะครับ(หรือจะลองเสี่ยงหา Serial Number ไปลองดูก็ได้นะครับแต่ผมไม่กล้า ฮิฮิ) อ้อเขาบอกว่าคุณสามารถทำเองก็ได้ง่ายนิดเดียวโดยดูรายละเอียดที่ Website ครับ (อยากลองเหมือนกันแต่ทำไม่เป็น ใช้ Skin Upkajuy Thai Fixed 4.1r2 ดีกว่าเนอะ)
2.5 Keyboard Shortcut
เป็นการตั้งค่า Shortcut ของคุณเองได้และตั้งแต่ เมื่อใช้งานร่วมกับ MIDI โหมดนี้ละครับ (สำหรับการตั่งค่า Shortcut นี้ผมขอละไว้นะที่นี้นะครับเพราะว่าเคยอ่านเจอในบอร์ดมีคนเคยสอนเอาไว้แล้ว ไปหาอ่านดูละกันนะครับ)
2.6 Network
ตัวเลือกนี้สามารถทำให้คุณ Mix เพลงได้หลาย ๆ Deck โดยการ Synchronization Computer หลาย ๆ เครื่องรวมกัน (Network Synchronization)หรือว่าพี่ ๆ ที่เริ่มแก่ตัว หูตาฝ้าฟาง ต้องการที่จะใช้หลายหน้าจอก็ทำได้ แต่ต้องใช้ Skin แบบ Multi-Instance (โดยเลือก Local Synchronization)โดยการทำแบบนี้ปุ่ม Sync หรือ Beat Lock จะทำงานร่วมกันทั้งหมด
2.7 Remote Control
โหมดนี้จะเป็นการเลือกการใช้งาน โดยการต่อ Console ภายนอก เช่น Hercules Dj Console, ของแพงอย่างNumark iCDX หรือ Turntable ไฮโซ อย่าง XP10 เพียงแต่ว่าเพื่อน ๆ ต้องใช้ Version Pro เท่านั้นนะ Version ธรรมดาจะใช้ง่านได้แต่ Hercules Dj Console เท่านั้นนะจ๊ะ (เห็นว่ามีเพื่อน ๆ บอกว่า Beringer 2000 ใช้งานได้แต่ไม่ครบทุกปุ่ม น่าสนใจเหมือนกันนะครับทั้งหน้าตาและค่าตัว) อ้อเกือบลืมไปแล้ว เพื่อน ๆ อยากจะ Scratch แผ่น (เสมือน) แบบไม่ต้องใช้เมาท์ถูกับพื้น ก็ดูที่หัวข้อ Webcam นะครับโดยการใช้ Webcam จับความเคลื่อนไหวของมือเรา (ผมใช้ Notebook. Webcam อยู่ด้านบนผมเลยใช้หัว Scratch แทน ฮิฮิ)
2.8 Codecs
เป็นข้อมูลบอก Format File ที่ Virtual Djรองรับ แก้ไขและเพิ่มใหม่ได้ครับ
2.9 Global Database (Napster)
เป็นการหาเพลงใหม่จาก Napster
2.10 Video
มิกซ์ Music Video ตั้งแต่ต่าง ๆ เช่นแสดงชื่อเพลง อื่น ๆ
2.11 Info
เป็น Link เข้าไปที่ Website ของ Virtual Dj เพื่อ Download และเช็คโปรแกรม (ขอบอกว่าอย่าเสี่ยง)


ทั้งหมดนี้เป็น Option ของ Virtual Dj อาจจะยาวไปสักนิดแต่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และนำไปใช้ได้จริง ผมขอออกตัวว่าไม่ได้เก่ง และยังต้องการคำแนะนำต่าง ๆ อีกเยอะครับ ถ้ามีข้อมูลใหนตกหล่นไปหรือผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ

เรื่องของ Virtual Dj ยังไม่หมดนะครับยังเหลืออีกหลายเรื่อง เช่น การ Set BPM ที่ไม่ตรง Beat,
การ Recording, การใช้และอัด Simple, การใช้ Effect, และอื่น ๆ ผมจะนำมาแนะนำให้ใหม่โอกาศหน้านะครับ ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อน ฮิฮิ

อ้อ.....ข้อมูลที่เป็นฐานในการเขียนของผมนะครับมาจาก Atomix Virtual Dj, Dj Mix Station,Website http://www.virtualdj.com/, และจากประสบการณ์นะครับ หวังว่าเพื่อน ๆ ที่ใช้ Virtual Dj Version ที่ต่างกันคงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นและเข้าใจได้มากขึ้นนะครับ .